ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็ระดมฝ่ายของตนสนับสนุน และพยายามแก้ลำเช่นกัน พูดง่ายๆ ก็คือ สังคมไทยกำลังตกอยู่ในสภาพมีการใช้กำลังเผชิญหน้าและต่อสู้ที่จะทำให้เกิดความเสียหายได้มาก หากไร้ทางออก
ต้องขอเรียนว่า วิกฤติการเมือง ครั้งนี้รุนแรงมากกว่าครั้งไหนๆ เพราะสังคมได้มีการแตกแยกออกเป็นสองกลุ่มที่เดินสวนทางกัน โดยปรากฏการณ์แบ่งฝ่ายมีมากกว่าปกติ และไม่หยุดยั้ง เพราะสไตล์นายกฯ สมัคร คือ ตัวการสร้างปัญหาด้วยการตอกลิ่มให้คน (และสื่อ) เลือกข้าง แทนที่จะต้องดำเนินการให้เกิดการสมานฉันท์กัน ถึงวันนี้ นายกฯสมัคร เหมือนตกอยู่ในสภาพถูกกรรมตามสนองจากบาปที่เคยสร้าง โดยกล่าวเท็จให้ร้ายต่อ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการธรรมศาสตร์ในเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 จนหมดสภาพผู้นำ ต้องดิ้นแก้ตัวพัลวันในทุกสิ่งที่ตนได้ทำไปอย่างน่าสมเพชยิ่ง หากมองถึงขั้นต่อไป เหตุการณ์การแตกแยกส่อไปในทางที่จะเกิดการต่อสู้กันรุนแรงมาก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างมีพลังปัจจัยและอำนาจสนับสนุนมากด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งต่างกับในอดีตที่การรวมตัวของฝ่ายต่อต้านมักมีน้อยกว่าและเสียเปรียบ ต้องยอมรับว่า ในรอบ 7 ปีที่อดีตนายกฯทักษิณ ก้าวเข้าสู่อำนาจเป็นนายกฯ ในสมัยพรรคไทยรักไทย และเป็นที่นิยมชมชอบอย่างรวดเร็วทั้งจากพ่อค้าและประชาชนระดับรากหญ้า ทั้งนี้ ปัจจัยเบื้องหลังที่เอื้อให้ ก็คือ ความเข้าใจและรู้จักการแสวงหาประโยชน์จากโอกาสของ นวัตกรรม ไอที หรือ เทคโนโลยีสารสนเทศยุคใหม่ กับรู้จักนำมาใช้สร้าง ภาพลักษณ์ เป็นนักบริหาร CEO ที่เก่งกาจ สามารถและทันสมัย จนได้ชื่อว่าเป็น อัศวินคลื่นลูกที่สาม แปลงความคิดและเทคโนโลยีเป็นทุนได้ แต่แท้จริงภาพที่ปรากฏและยอมรับกันว่าเป็นจริงในเวลาต่อมาว่า ปัจจัยที่ทำให้สำเร็จกลับอยู่ที่ การเก่งในการเล่นหุ้นด้วยกลเกมการเงิน กับ กลยุทธ์การขยายอาณาจักรธุรกิจ ด้วย กลยุทธ์การซื้อและควบรวมกิจการ หรือ Merger Endgame ที่รู้จักนำมาใช้สร้างความร่ำรวยในโลกไร้พรมแดน และสามารถเชื่อมโยงให้การสนับสนุนต่องานการเมืองด้วยโดยปริยาย จนเมื่อถูกรัฐประหารเมื่อก.ย.2519 อดีตนายกฯ ทักษิณ ก็ยังคงมีพลังอำนาจและเป็นที่นิยมของหลายกลุ่ม แต่ปัญหาจุดอ่อนคือ การถูกสอบสวน ทำให้ต้องดำเนินการต่อสู้พิสูจน์ความบริสุทธิ์โดยอาศัยการทำผ่านตัวแทน แต่ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านนานออกไป ภาพลักษณ์ที่แท้จริงก็จะเริ่มค่อยๆ ปรากฏออกมาให้เห็นได้จากพฤติกรรมที่ต่อเนื่อง และได้ถูกเร่งให้เห็นชัดมากขึ้นจากสไตล์การพูดและทำของนายกฯ สมัคร
ประกอบกับ การประกาศขายหุ้นกิจการให้ เทมาเส็ก คือ ตัวชี้ให้คนเห็นถึงเจตนาที่แท้จริง และเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ถูกโจมตีและถูกขุดค้น ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ที่เริ่มต้นด้วยคนไม่กี่คน เทียบไม่ได้กับพลังทุนของฝ่ายรัฐบาล และไม่น่าจะได้รับการสนับสนุนมากมายขนาดนี้จนกลายเป็นหอกข้างแคร่ ก้างขวางคอ ชิ้นใหญ่ที่สามารถคัดง้างและต่อต้านอย่างมีน้ำหนัก
สาเหตุสำคัญที่ทำให้กลุ่มพันธมิตรเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว ก็คือ
1. รัฐบาล โดยนายกฯ สมัคร บริหารประเทศโดยขาดธรรมาภิบาล ไม่โปร่งใส และส่อไปในทางไม่น่าวางใจเชื่อถือ ทำให้ศรัทธาต่อรัฐบาลหดหาย
2. การที่กลุ่มพันธมิตร มีสื่อ ASTV ที่สามารถวิเคราะห์และเปิดเผยข้อมูล รวมทั้งให้ความรู้แก้ประชาชน โดยเฉพาะ คนในต่างจังหวัดทางไกล ที่ได้มีโอกาสทราบถึงด้านมืดต่างๆ มากมาย การมีสื่อเป็นทางออกพร้อมกับมีข้อมูล จึงเท่ากับทำให้กลุ่มต่อต้านมีน้ำหนักมากขึ้น ซึ่งตรงกับ ความจริงที่ว่า ข้อมูลคืออำนาจ ประกาศิต โดยปริยาย
3. พฤติกรรมการบริหารและดำเนินงานของนายกฯ สมัคร ที่รุกและก้าวไป ด้วยสไตล์การพูดที่กร้าว เท่ากับช่วยให้ทุกอย่างวิ่งเข้าสู่ข้อสรุปได้เร็วขึ้น โดยประชาชนสามารถตีความและเข้าใจ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงความนิยมชมชอบไปได้ด้วย
4. ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลได้เปรียบเรื่องพลังทุน กับ มีสื่ออยู่ในมือ แต่กลับขาดทีมงานในการหาข้อมูลและตอบโต้ตีกลับหรือแก้ต่างข้อกล่าวหาของฝ่ายพันธมิตรฯ จึงทำให้น้ำหนักการสนับสนุนและต่อต้านเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม
โดยสรุป วิกฤติการเผชิญหน้าครั้งนี้นับว่า ก่อความเสี่ยงสูงต่อความมั่นคงของประเทศ เพราะน้ำหนักของทั้งสองฝ่ายมีสูงทั้งสองข้าง โดยฝ่ายรัฐบาล จะยังมากด้วย พลังทุนกับเครื่องมือสื่อ พร้อมที่จะใช้สนับสนุนต่อกิจกรรมทุกด้านของฝ่ายรัฐบาลได้ ขณะที่ฝ่ายพันธมิตรฯ ก็มีอำนาจด้านข่าวสารข้อมูลและสื่อ ที่จะระดมการสนับสนุนจากลุ่มต่างๆ ได้เช่นกัน ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักความจริงที่ว่า ธรรมชาติโลกใหม่ยุคโลกาภิวัตน์ การมีนวัตกรรมใหม่ ทำให้ ปัจจัยทุน กับ ปัจจัยข้อมูล คือ สิ่งอันเป็นพลังอำนาจที่ทำให้เกมการสู้ศึกสงครามเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน แต่แม้ทุนจะมากแค่ไหน พลังที่จะทำให้ชนะเหนือได้ คือ ข้อมูลสะท้อน "ความโปร่งใส" ที่ใช้ส่องความไม่สุจริต กับความไม่ชอบธรรม ให้เห็นประจักษ์ได้
โพสต์โดย: นางสาวชาลินี เอี่ยมโอน ID: 5131601043
1 ความคิดเห็น:
เดี๋ยวนี้สื่อต่างเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนติดต่อสื่อสารกันได้ดีขึ้น ได้รับรู้ข้อมูลมากขึ้น ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพแต่เป็นทั่วประเทศ แต่ต้องระวังอย่าให้สื่อมามอมเมา ต้องรับสื่ออย่างมีวิจารณญาณ
น.ส.เพียงตะวัน พงษ์ไพบูลย์
5131601149
ฝากบล็อกเราด้วยนะคะ
http://thai-political.blogspot.com
แสดงความคิดเห็น