วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

รัฐบาลเข็นนโยบายเร่งด่วน โชว์ปรองดอง


ปลุกปชต.-สัมพันธ์เพื่อนบ้าน ชู8เรื่องหลัก-14ประเด็นย่อย

ม็อบบุก - กลุ่มคนพิการตาบอดมาชุนนุมประท้วงหน้าหมู่บ้านของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ช่วยแก้ปัญหาปากท้องและความยากไร้ของคนพิการทั่วประเทศ นับเป็นม็อบกลุ่มแรกที่เคลื่อนไหวบุกถึงหน้าบ้านพักหลังนายสมชายรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่ย่านถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 24 กันยายน

ชงรัฐบาลชู 14 เรื่องเร่งด่วน 8 นโยบายหลัก 14 เรื่องย่อย เฉพาะหน้าเน้นสร้างความปรองดองของคนในชาติ การฟื้นฟูประชาธิปไตยและการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับ ปท.เพื่อนบ้าน รวมถึงผลักดันเมกะโปรเจ็คต์ "สุชาติ"ขอโทษปูด บ.ประกันมีปัญหา ต่อไปจะระมัดระวังปาก แต่ไม่วายบอกค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 34-35 บ. ท้าให้ดูที่ผลงานเมื่อบ่ายวันที่ 24 กันยายน มีการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการจัดทำนโยบายรัฐบาลของพรรคพลังประชาชน (พปช.) และนายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่สำนักงาน พปช.อาคารไอเอฟซีที โดยนายนพดล ปัทมะ รองเลขาธิการ พปช. ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมว่า ได้รับมอบจากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ให้ทำหน้าที่ประสานงานการจัดทำร่างนโยบาย โดยแบ่งเป็นนโยบายเร่งด่วน 14 เรื่อง นโยบายหลัก 8 เรื่อง และนโยบายย่อย 14 เรื่อง มีเนื้อหา 25 หน้า ซึ่งจะดำเนินการภายใน 3 ปี สำหรับนโยบายเร่งด่วนจะเน้นการสร้างความสมานฉันท์ปรองดองของคนในชาติ การฟื้นฟูประชาธิปไตยและการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน การฟื้นฟูโครงการลงทุนขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจ็คต์และนโยบายการลงทุนหลักขนาดใหญ่ การพัฒนาคน การเร่งหารายได้เข้ารัฐ โดยจะนำเม็ดเงินมาจาการท่องเที่ยว การให้โอกาสคนยากจนเข้าถึงแหล่งทุน การแก้ไขปัญหาปากท้อง รวมถึงการดูด้านการเงินโดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อ

นายนพดลกล่าวว่า สำหรับร่างนโยบายดังกล่าวยังไม่ถือเป็นข้อสรุป โดยพรรคจะนำไปประชุมรับฟังความคิดเห็นกับพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้ง คาดว่า จะเป็นวันที่ 26 กันยายน โดยจะมีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ส.ส.เชียงใหม่ พปช. เป็นผู้ประสานงานกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งนี้ นโยบายรัฐบาลต่อเนื่องจากนโยบายรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช แต่จะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะสามารถแถลงนโยบายต่อรัฐสภาได้ภายในต้นเดือนตุลาคม

ขณะที่นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวกรณีระบุธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังหาสภาพคล่องให้กับบริษัทประกันภัยที่มีปัญหา โดย ธปท.ได้ติดต่อธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 แห่งในไทย เพื่อช่วยเหลือปล่อยเครดิตไลน์ให้กับบริษัทที่มีปัญหาว่า ยืนยันว่าไม่มีบริษัทไหนในประเทศไทยมีปัญหา เนื่องจากประเทศไทยอยู่ห่างไกลจากปัญหามาก

"เราอยู่ห่างจากประเทศสหรัฐอเมริกาถึง 12 ชั่วโมง ฉะนั้น ปัญหาของเรายังห่างไกล จากเขามาก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เรามีแผนงานต่างๆ ที่เตรียมเอาไว้พร้อมรองรับกับสถาน การณ์ที่เกิดขึ้นไว้เรียบร้อยแล้ว ด้วยการเตรียมสภาพคล่องต่างๆ ไว้ และเมื่อมีสถานีวิทยุแห่งหนึ่งมองว่ารัฐบาลไม่ได้ทำอะไร แต่เราก็บอก ไปว่าขณะนี้ ธปท.ได้เตรียมสภาพคล่องต่างๆ ไว้รองรับกรณีที่อาจจะมีบริษัทประกันภัยที่มีปัญหาแล้ว แต่ในความเห็นของนักวิชาการตอนนี้ยังไม่มีบริษัทอะไรในเมืองไทยที่มีปัญหา แต่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพูดแบบนั้นไม่ได้ บอกได้เพียงแต่ต้องเตรียมการรองรับไว้ก่อนจะดีกว่า" นายสุชาติกล่าว


นายสุชาติกล่าวว่า "เรื่องทั้งหมดที่ทำให้เกิดความสับสนขึ้น ถือเป็นความผิดของผมที่พูดไม่ชัดเจนและมีข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ดังนั้น คงต้องขอโทษทุกคนด้วย จากนี้จะไม่สร้างความสับสนให้เกิดขึ้นอีก เหมือนเรื่องคนตกใจว่าบ้านไฟไหม้ แล้วรีบวิ่งจนเหยียบกันตายซึ่งต้องระวัง และยืนยันว่าที่ผ่านมาคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้ดูแลทุกอย่างเต็มที่ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น"สำหรับแนวทางในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนและสภาพคล่องเงินในระบบ นายสุชาติกล่าวว่า จำเป็นจะต้องรักษาระดับค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งระดับที่มองว่าน่าจะเหมาะสมในขณะนี้คือ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ หากปล่อยให้ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากกว่านี้อาจจะทำให้สินค้าทุนต่างๆ แพงขึ้น แต่คงจะพูดอะไรมากไม่ได้ เนื่องจากคนที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต้องอย่าพูด เพราะแนวทางการทำงานของตนจะเน้นการให้นโยบายแต่ไม่ได้ลงไปในรายละเอียด

ส่วนแนวทางในการเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคเอกชนที่มีท่าทีผิดหวังต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ นายสุชาติกล่าวว่า ต้องพิสูจน์กันในอนาคต เพราะสิ่งที่ต้องการทำที่สุดคือ การแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชน ให้ชาวบ้านมีเงิน ค่าเงินไม่แข็งจนเกินไป ไม่เช่นนั้นเงินทุนของประเทศจะไม่เข้ามา ดัชนีในตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่ขึ้น ขณะที่ชาวต่างประเทศเมื่อนำเงินเข้ามาในประเทศซื้อหุ้นและทำกำไร ก็เท่ากับว่ากำไรที่เขาได้รับก็มาจากชาวไร่ชาวนาของไทยที่อยู่เฉยๆ ราคาข้าวก็ลดลงไปจากที่ควรจะเป็น แต่สิ่งที่พูดไปไม่ใช่ว่าจะไปปิดกั้นการลงทุน เพียงแต่ต้องการจะดูแลอัตราแลกเปลี่ยนและสภาพคล่องให้ดี

"เรื่องความคาดหวังเชื่อมั่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่คงเรียกร้องอะไรไม่ได้ เพราะต้องดูที่ผลงานด้วย แต่ขอให้ไปถามคนในต่างจังหวัดดูด้วย เพราะเท่าที่ผมลงพื้นที่มาก็ยังเห็นว่าชาวบ้านนิยมชมชอบโครงการรากหญ้า เช่น โครงการกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) โครงการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชน (เอสเอ็ม แอล) ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" นายสุชาติกล่าว

สำหรับการทำงานร่วมกับ ธปท. นายสุชาติกล่าวว่า จะทำงานตามที่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย แนะนำ เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และที่ผ่านมาความคิดเห็นที่เสนอไปก็ให้ในฐานะนักวิชาการ นอกจากนี้ ยืนยันว่าเป็นพี่น้องกับ ธปท. ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อถามว่าแนวทางในการกำกับดูแลนโยบายอัตราดอกเบี้ยระยะต่อจากนี้ควรจะเป็นไปในทิศทางใด นายสุชาติกล่าวว่า เรื่องนี้คงจะต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ธปท.ในฐานะผู้รับผิดชอบที่จะต้องดูแลเป็นผู้ตอบคำถามจะเหมาะสมกว่า นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท.กล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียดบริษัทประกันภัยมีปัญหาสภาพคล่อง เพราะบริษัทประกันภัยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และหากจะมีปัญหาขาดสภาพคล่องก็เป็นเรื่องที่ธุรกิจจะติดต่อกันเองระหว่างบริษัทประกันภัยกับธนาคารพาณิชย์ไม่เกี่ยวกับ ธปท.

"ผมไม่ทราบว่า สิ่งที่รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังพูดหมายถึงอะไร เพราะยังไม่ได้เจอกับนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท.ด้วยว่า มีการรายงานอะไรไปหรือไม่ แต่เท่าที่คุยกับ คปภ.เองก็ไม่ทราบเรื่องและธนาคารก็ไม่ได้รายงานอะไรมาที่เรา เพราะเป็นเรื่องที่เขาจะคุยกันเอง" นายสรสิทธิ์กล่าวนายสรสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้สภาพคล่องของระบบสถาบันการเงินยังดี มีฐานมั่นคง สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามมาตรฐานบีไอเอส เฉลี่ย 15% มากกว่าขั้นต่ำที่ 8.5% แสดงว่าสภาพคล่องเพียงพอที่จะรองรับการปล่อยสินเชื่อ ขณะที่มีสินทรัพย์ที่ลงทุนในต่างประเทศประมาณ 1% ของสินทรัพย์รวม ซึ่งถือว่าต่ำมาก นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการ คปภ. กล่าวภายหลังการประชุม เพื่อประเมินผลกระทบจากวิกฤตทางการเงินของสหรัฐอเมริกาต่อธุรกิจประกันภัยของไทยว่า จากการติดตามสถานการณ์ในเบื้องต้นพบว่ายังไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น เนื่องจากสถานภาพของบริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัย ยังมีอัตราการขยายตัวในระดับสูง และเมื่อตรวจสอบบริษัทประกันภัยในประเทศไทยทั้งหมด 99 แห่ง พบว่ามีเพียง 2 แห่งที่เป็นปัญหาแต่ก็เกิดขึ้นมานานแล้ว ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนอย่าตกใจและขอคืนกรมธรรม์ก่อนกำหนด

ไม่มีความคิดเห็น: