วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

อานันท์แนะทุกฝ่ายใช้สติ สามัคคีพาชาติพ้นวิกฤติ

วันนี้ (12 ก.ย.) นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังร่วมฟังปาฐกถาเกียรติยศ "พุทธธรรมนำไทยพ้นวิกฤติ" โดยกล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ว่า ตอนนี้ประเทศแตกแยกเป็น 2 ขั้วจนห่างไกลกันมาก เป็นปัญหาของคนไทยและสังคมโดยรวม ดังนั้น ขอให้ทุกคนใช้สติและเวลาให้มาก ลดเรื่องของอารมณ์ลง เมื่อถามถึงภาพลักษณ์ของผู้นำในขณะนี้ควรเป็นอย่างไร นายอานันท์ กล่าวว่า ยังไม่เห็นหน้าตาจึงยังพูดไม่ได้ อย่างไรก็ตาม มองว่าปัญหาในประเทศที่กำลังวิกฤติและรุนแรงมาก ถ้าดูจากประวัติศาสตร์โลกทุกประเทศก็ผ่านวิกฤติมาได้เช่นกัน สังคมไทยอยู่มาได้ 800 ปี คงจะมีอะไรดีๆ ต่อไปได้ โดยมีความสามัคคีปรองดอง นายอานันท์ กล่าวถึงเรื่องการเมืองใหม่ ว่า เป็นเรื่องดี เพราะรู้สึกเหมือนการเมืองขณะนี้เป็นทางตัน น่าจะมีการปรับปรุง แต่การเมืองใหม่คืออะไร ต้องมาร่วมพูดคุยกัน และต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง รวมทั้งหลายองค์กรในประเทศสามารถมาร่วมกันคิดร่วมกันทำได้ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคการเมือง องค์กรประชาชน องค์กรสาธารณะ องค์กรเศรษฐกิจ สถาบันการศึกษา ก็มาร่วมกันคิดได้ ส่วนความเหมาะสมของการมีรัฐบาลแห่งชาติ นายอานันท์ กล่าวว่า ยังมีความเข้าใจเรื่องรัฐบาลแห่งชาติที่ไม่ตรงกันอยู่มาก แต่ถ้ารัฐบาลแห่งชาติคือการที่ทุกฝ่ายและทุกพรรคการเมืองร่วมกัน และทำตามรัฐธรรมนูญ ถ้าทำได้เช่นนี้ก็ดี แต่ก็ไม่รู้จะทำได้หรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองมากกว่า ผู้สื่อข่าวยังถามถึงการกลับมาเป็นผู้นำของนายสมัคร สุนทรเวช นายอานันท์ กล่าวว่า ตนไม่อยากวิจารณ์ เพราะตนไม่รู้จักนายสมัครเพียงพอ เมื่อถามว่าถึงเวลาที่สังคมไทยต้องการอัศวินขี่ม้าขาวหรือไม่ นายอานันท์ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่เห็นมีคนขี่ควายดำมาแล้ว ขณะเดียวกัน พระมหาวุฒิชัย หรือ "ว.วชิรเมธี" ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตยาลัย กล่าวในการปาฐกถาเกียรติยศชุด "พุทธธรรมนำไทยพ้นวิกฤติ" หัวข้อ "สังคมไทยกับการสร้างสรรค์ความกล้าหาญทางจริยธรรม" โดยระบุว่า ความกล้าหาญทางธรรม คือ การที่ปัญญา จิต และมีความรักแท้ที่บริสุทธิ์ คนที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมจะขาดความเข้าใจทางโลกและชีวิตไม่ได้ ขณะเดียวกันต้องศึกษาจริยธรรมคู่กันไปด้วย ต้องคอยติง เตือน ไม่ใช่ตำหนิ แต่เป็นเข็มทิศที่เที่ยงธรรมของสังคม ต้องเป็นจริยธรรมที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ ความกล้าทางจริยธรรมต้องไม่หลงตัวเอง ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน เรียนรู้ตลอดเส้นทางการเรียกร้องให้สังคม จึงจะกลายเป็นคนสำคัญและเป็นสัญลักษณ์แห่งการเรียกร้องของโลก อย่างเช่น มหาตมะ คานธี พระมหาวุฒิชัย กล่าวด้วยว่า จริยธรรมจะสำเร็จได้ไม่ใช่พึ่งพระ พึ่งประมวลกฎหมาย พึ่งองค์กรใดองค์กรหนึ่งฝ่ายเดียว จะสร้างจริยธรรมในสังคมได้ทุกองคาพยพต้องร่วมกัน ดังนั้น ความกล้าหาญทางจริยธรรมในสังคมทุกส่วนต้องตระหนักรู้ร่วมกัน แล้วร่วมกันขับเคลื่อน การสร้างสรรค์ ความกล้าหาญทางจริยธรรม ต้องเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการเรียนรู้ของสังคมไทยทั้งระบบ ให้ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ ถ้าเปลี่ยนได้สังคมจึงจะเปลี่ยนไปพร้อมๆ กัน ด้านนายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปาฐกถาหัวข้อ "อำนาจแห่งความว่าง ความว่างแห่งอำนาจ" ระบุตอนหนึ่งว่า สถานการณ์ที่เป็นวิกฤติการเมืองในปัจจุบัน จะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ยังครองตนอยู่ในความนิ่งเงียบ แต่ความเงียบเช่นนี้ แท้จริงแล้วอาจดังกึกก้องเหมือนฟ้าคำราม ใครที่อ่านสัญญาณไม่ออก กระทำผลีผลามย่ามใจ เท่ากับหาทุกข์ใส่ตัว ท่านพุทธทาสเคยสอนไว้ว่า การเมืองต้องไม่แยกจากธรรมะ และนักการเมืองที่แท้จริงจะต้องเป็นนักการเมืองโพธิสัตว์ หรือนักการเมืองของพระเจ้า มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น ใครก็ตามที่นำอัตตาตัวตนขึ้นสู่เวทีอำนาจ ใครก็ตามที่นำผลประโยชน์ส่วนตัวขึ้นสู่เวทีอำนาจ และยืนยันผลประโยชน์ของตนเองเป็นเอก ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ หรือสรรเสริญ ท้ายที่สุดแล้วจะไปไม่รอดทั้งสิ้น
นายเสกสรรค์ กล่าวอีกว่า ตามหลักรัฐศาสตร์ อำนาจเปลี่ยนมือได้เสมอ ถ้าผู้ปกครองไม่สามารถแก้ปัญหาให้ผู้อยู่ใต้การปกครองได้ หรือมีวิกฤติต่อเนื่อง แต่เปลี่ยนแล้วจะดีขึ้นหรือไม่ ยังไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัวเสมอไป ขึ้นอยู่กับผู้นำการเปลี่ยนแปลง ว่ามีปัญญามากน้อยเพียงใด คนในสังคมเห็นพ้องกันในทิศทางของการเปลี่ยนแปลงแค่ไหน หากสังคมยังไม่เห็นพ้องต้องกันในทิศทางการเปลี่ยนแปลง การล้มลงของระบอบเก่าหรือำนาจเก่า ก็รังแต่จะนำไปสู่สภาพกลียุคและอนาธิปไตย ด้านนายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ ให้สัมภาษณ์ว่า การเมืองในขณะนี้ไม่ใช่การทะเลาะของพันธมิตรฯ ไม่ใช่ปัญหาการเมือง แต่เป็นปัญหาของสังคม เพราะสังคมเปลี่ยนระดับความรุนแรงมาก การเมืองต้องปรับตัว แต่ยังไม่ได้ปรับตัว ดังนั้น ปัญหาความขัดแย้ง ตึงเครียด ต้องมีต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 10 ปีจึงจะนิ่ง สถานการณ์ขณะนี้สังคมต้องเข้มแข็งเป็นแรงกดดัน ทำให้สังคมกำหนดการเมือง ไม่ใช่ปล่อยให้การเมืองกำหนดกันเองใต้โต๊ะ และประชาธิปไตยไม่ใช่สูตรสำเร็จรูปในสังคมใด และไม่ใช่สิ่งที่กำหนดตายตัว แต่ประชาธิปไตยปรับเปลี่ยนไปตามสังคม เกิดจากความขัดแย้ง การต่อรอง การต่อสู้ หรือผ่านการนองเลือด การปรับเปลี่ยนสังคมไปสู่การเมืองใหม่ขณะนี้จะเกิดการนองเลือดหรือไม่ยังไม่มีใครตอบได้

ที่มา: http://www.thairath.co.th/onlineheadnews.html?id=103957


โพสต์โดย: นางสาวพรรณวิภา ติคำ ID: 5131601135

2 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำกล่าวของ
นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี
ที่ว่า สามัคคี พาชาติพ้นวิกฤติ และแนะให้ทุกฝ่ายใช้สติ
และเหตุผลให้มาก เพราะดูจากสถาณการณ์บ้านเมืองตอนนี้แล้วบ้านเมืองขณะนี้ ตอนนี้ประเทศแตกแยกเป็น 2 ขั้วจนห่างไกลกันมาก เป็นปัญหาของคนไทยและสังคมโดยรวม อย่างที่กล่าวเอาไว้จริงๆ ดังนั้นทุกคนควรใช้สติให้มากนะค่ะ

Chalinee aemon
ID5131601043 Sec 1

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำกล่าวของ
นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี
ที่ว่า สามัคคี พาชาติพ้นวิกฤติ และแนะให้ทุกฝ่ายใช้สติ
และเหตุผลให้มาก เพราะดูจากสถาณการณ์บ้านเมืองตอนนี้แล้วบ้านเมืองขณะนี้ ตอนนี้ประเทศแตกแยกเป็น 2 ขั้วจนห่างไกลกันมาก เป็นปัญหาของคนไทยและสังคมโดยรวม อย่างที่กล่าวเอาไว้จริงๆ ดังนั้นทุกคนควรใช้สติให้มากนะค่ะ

Chalinee aemon
ID5131601043 Sec 1