นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา แสดงความดีใจหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวว่า คำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญจะนำกฎหมายอื่น อย่างกฎหมายแพ่ง หรือกฎหมายแรงงาน มาอ้างคงไม่ได้ เพราะเป็นกฎหมายสูงสุด ย้อนประวัติ "มือพิฆาตเลี่ยงภาษี"สำหรับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นั้น เดิมเป็นนักตรวจสอบบัญชีอิสระ แต่มาโด่งดังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของสังคมในปี 2549 ที่ช่วงนั้นมีกระแส “ไม่เอาทักษิณ” และมีประเด็นเรื่องการขายหุ้นชินคอร์ป เขาจึงเรียกร้องให้สรรรพกรเก็บภาษีส่วนต่างราคาหุ้นที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่เครือญาติ โดยได้หยิบยกกรณีตัวเองซื้อหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ต่อจากบิดาราคาหุ้นละ 10 บาท จำนวน 5,000 หุ้น ขณะที่ราคาตลาด หุ้นละ 21 บาท มีส่วนต่างประมาณ 55,000 บาท แต่ปรากฏว่าถูกกรมสรรพากรคำนวณเป็นภาษีเงินได้ 21,000 บาท ซึ่งบริบทใกล้เคียงกับกรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่โอนหุ้นให้พี่ชายบุญธรรม แต่ไม่ต้องเสียภาษีโดยอ้างเป็นของขวัญแต่งงาน และกรมสรรพากรตีความเป็นการโอนหุ้นให้ตามประเพณี ถือเป็นการอุปการะแก่พี่ชายบุญธรรมตามหน้าที่ธรรมจรรยาของน้องสาวที่ดี หลังจากนั้น มีการนำข้อมูลมาเปิดเผยกับสื่อมวลชน จนมีการนำไปขยายความต่อกันในวุฒิสภา และที่สุดรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้นคือ “วราเทพ รัตนากร” ออกมาชี้แจงว่ากรมสรรพากรเข้าใจผิด และขอคืนภาษีให้ แต่นายเรืองไกรไม่ต้องการเงินคืน เขาอยากให้กรณีของตัวเองเป็นบรรทัดฐานให้กรมสรรพากร และเรียกเก็บภาษีจากครอบครัวชินวัตร เพื่อสร้างความเท่าเทียมในสังคม ซึ่งต่อมาเขาได้ยื่นฟ้องกรมสรรพากร และในที่สุดกรมสรรพากรก็สามารถเรียกคืนภาษีจากบุคคลในตระกุลชินคอร์ป กรณีดังกล่าวทำให้คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง) ให้ความสนใจและเชิญเขามาเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าการสตง. นับแต่นั้น นายเรืองไกรก็เป็นคนหนึ่งที่เสนอข้อมูล และแกะรอยเชื่อมโยงระหว่างหุ้นชินคอร์ปและการทำธุรกรรมแอมเพิลริช ที่สลับซับซ้อน ซึ่งนำมาสู่การตรวจสอบของคณะกรรมการการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และเป็นผลงานที่สร้างชื่อ ทำให้เขาได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภาในระบบสรรหาได้ในที่สุดโพสต์โดย: นางสาวภัทราสิยากร ณ นคร ID: 5131601005
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น