วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551

พระที่อยู่ในบ้าน

มาตาปิตุไซร้ พรหมของ บุตรนา

อันสุภาษิตปอง เปรียบไว้

ให้ผู้ฉลาดตรอง เห็นชอบ ตามแล

ฝังจิตแล้วจักได้ บ่รู้ลืมคุณ ฯ

มาตาปิตุไซร้ ควรนับได้ว่าเป็นพรหม

ของบุตรสุดนิยม ชมพจน์เทียบเปรียบงดงาม ฯ

เมื่อผู้ฉลาดตรอง ก็จะต้องเห็นชอบตาม

ฝังจิตคิดถึงความ ที่มีคุณบุญหนักหนา ฯ

พ่อแม่ให้กําเนิด ตั้งแต่เกิดอบรมมา

ให้รู้ทุกสิ่งสา รพัตรตั้งจิตสั่งสอน

ชี้ทางธรรม ที่คนดีควรสัญจร

ชี้ทางกะลีบร จึ่งอาจลี้หนีพ้นกาล ฯ

มารดาและบิดา มีคุณหาใดเปรียบปาน

พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖


ไม่ใช่พระ ที่อยู่ที่หิ่ง หรือโต๊ะหมู่ แต่เป็นพระตัวเป็นๆนี่แหละ พระสององค์นั้นก็คือ พระพ่อ พระแม่ พ่อแม่นี่แหละพระของเรา เป็นพระที่นั้งอยู่ในบ้าน เป็นพระที่อยู่ใกล้เราตลอดเวลา เรียกว่า เป็นพระเป็นเทวดา เราก็ควรจะต้องเคารพ ต้องบูชา อย่าไปเที่ยวไหว้เทวดาอื่นให้มันยุ่ง ถ้ายังไหว้เทวดาตามศาลพระภูมิ เทวดาต้นไม้ เทวดาที่นั้นที่นี่ได้ แล้วเทวดาที่บ้านล่ะ ตาดําๆ มีเนื้อ มีหนัง มีหู มีตา พูดกันรู้เรื่องเราควรจะไหว้ หรือจะให้เหลือเถ่ากระดูก แล้วค่อยไหว้ ค่อยทําบุญส่งอาหารไปให้....(จะได้กินไหมนั้น)

เคย นั้งรถเมล์ผ่าน แยกราชประสงค์ เห็นผู้คนมากมาย กราบไหว้บูชา พระพรหม ก็ได้แต่นึกว่า คนที่อยู่ตรงนั้น รักและเคารพ พระพรหมที่อยู่ที่บ้านแบบนี้หรือเปล่า หรือจะถูกควันธูปและเสียงรถอันอืออึงทําให้หูหนวกตาบอดไปแล้ว

ศาสนาพราหมณ์เขาถือว่า พระพรหมคือ เทพที่สร้างโลกหรือก็คือเทพผู้ให้ พ่อแม่ให้เราทุกอย่าง ท่านให้เราเกิดมา ท่านเลี้ยงเรามาให้การศึกษาแก่เรา ทําอะไรให้เราแทบทุกอย่าง ถ้าจะเรียกว่าพระหรหมคงจะไม่เกินไปนัก

ทุกวันนี้นิยมนัก ครอบครัวเดี่ยว ใครเคยอ่าน Fujiko F fujio SF Collection เล่ม 1 "ตอน เมื่อคุณปู่จากไป" น่าจะเข้าใจดี เวลานี้ลูกหลาน อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่งงานแล้วก็อยากจะซื้อบ้าน ซื้อทาวน์เฮ้าล์อยู่ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย อย่ามายุ่ง .... เขาอยากอยู่ตามเรื่องของเขา เป็นชีวิตสมัยใหม่ที่ห่างเหินครอบครัวไปอยู่โดดเดี่ยว

ผิดกับสมัยก่อน ครอบครัวใหญ่ๆ เขาให้อยู่ในบริเวณเดี่ยวกัน ไม่ให้ไปไหนแม้จะแยกเรือนก็ต้องอยู่ในบริเวณเดียวกัน ได้มีความสัมพันธ์ทางจิตใจ พ่อแม่ก็เห็นหน้าลูก ลูกก็เห็นหน้าพ่อแม่ กินข้าวด้วยกัน มีอะไรก็ได้คุยได้ปรึกษากัน จะได้ไม่เหงา ไม่เปล่าเปลี่ยว ระบบโบราณๆ ดูแล้วก็น่าจะได้ไม่น้อย

แต่เดี่ยวนี่ ระบบครอบครัวเดี่ยว ไปอยู่ครอบครัวเดียว ไม่ยุ่งกับใคร ครั้นเวลามีปัญหาก็ไม่พ้น พ่อแม่ พอมีทุกข์ก็มากราบมือกราบตีน

"คุณแม่คะต้องช่วยหนูนะ ถ้าไม่ช่วยหนูตายแน่"

เวลาสบายดีไม่ค่อยมากันหลอก .... ทุกข์ร้อนก็มาหา สังคมเปลี่ยนไปความสัมพันธ์ทางจิตใจ น้อยลงทุกวัน ....




ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวี

ใคร หนอ ปราณี ไม่มีเสื่อมคลาย

ใคร หนอ รักเราใช่เพียงรูปกาย

รักเขาไม่หน่าย มิคิดทำลาย ใคร หนา



ใคร หนอ เห็นเรา เศร้าทรวงใน

ใคร หนอ เอาใจปลอบเราเรื่อยมา

ใคร หนอ รักเราดังดวงแก้วตา

รักเขากว้างกว่า พื้นพสุธา นภากาศ




จะเอาโลก มาทำปากกา

แล้วเอานภา มาแทน กระดาษ

เอาน้ำหมด มหาสมุทรแทนหมึกวาด

ประกาศ พระคุณไม่พอ



ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวัน (เท่าชีวัน)

ใคร หนอ ใครกันให้เราขี่คอ (คุณพ่อ คุณแม่)

ใคร หนอ ชักชวนดูหนังสี่จอ

รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ




ดนตรี



ใคร หนอ รักเรา เท่าชีวัน (เท่าชีวัน)

ใคร หนอ ใครกันให้เราขี่คอ(คุณพ่อ คุณแม่)

ใคร หนอ ชักชวนดูหนังสี่จอ

รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ









credit :: http://qmumuq.exteen.com/20080811/entry
update by : Kotchakorn Sunthikhunakorn 5131601001

4 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ง่ายๆคือตั้งใจเรียนเพื่อเป็นของขวัญชิ้นที่ดีที่สุดให้คุณพ่อคุณแม่ไง

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เด็กนี่ น่ารักดีอะ :)

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

วันแม่มี 365 วันจริงๆ เราเองก็คิดแบบนั้น มันไม่ได้มีแค่เฉพาะ12 สิงหา แต่เราสามารถแสดงความรักต่อพ่อแม่ของตนได้ตลอดทุกวัน ทุกเวลา 24 ชั่วโมง ไม่จำเป็นต้องเป็นวันแม่ วันนเลยเป็นเหมือนวันปกติทั่วไป ไม่จำเป็นต้องมาไหว้แม่เฉพาะวันนี้ เราคนนึงที่ไม่ทำ เพราะ "ควรที่จะทำทุกวัน" ไม่ใช่แค่วันนี้

Crisis กล่าวว่า...

วันไหนวันไหน

ก็ยังรักแม่เหมือนเดิม

รักที่ไม่มีข้อแม้ ก็ได้รับมาจากแม่เรานี่ล่ะ