วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ตร.ลุย พธม.เจ็บระนาว



ศาลแพ่งสั่งระงับบังคับคดีชั่วคราว"สมัคร"พูดเป็นนัย

ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ระงับการบังคับคดีไว้ชั่วคราว หลังตำรวจปะทะม็อบเจ็บระนาว ขณะนำเจ้าหน้าที่บังคับคดีเข้าปิดหมายที่เวทีพันธมิตร เชิงสะพานมัฆวานฯ ด้านตำรวจเข้ารื้อเต็นท์ที่พักในถนนราชดำเนิน พบระเบิดเพลิง ไม้ตอกตะปู กระสุนปืน มีดและดาบ รวมทั้งน้ำมันและใบกระท่อม ตกบ่ายพันธมิตร รวมตัวนับพันลุยยึดพื้นที่คืนได้สำเร็จ โดยตำรวจไม่กล้าขัดขวาง ส่วนตอนเย็น “การุณ ใสงาม” มาเองนำพันธมิตร บุก บช.น. ขึ้นเรียกร้องให้ส่ง พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว ออกมา เนื่องจากไปบุกพันธมิตร แล้วเกิดเสียงระเบิดขึ้น กลุ่มพันธมิตรถูกแก๊สน้ำตาไปหลายคน อ้างตำรวจใช้ แต่ “อัศวิน” พร้อมสื่อมวลชนที่อยู่ด้านใน บช.น. ยืนยันว่าตำรวจไม่ได้เป็นผู้ใช้แก๊สน้ำตายิงใส่ฝูงชน ด้าน “สมัคร” เผยยอมอดกลั้นอดทนเพื่อเตรียมจัดงานใหญ่ พูดเป็นนัย “พรุ่งนี้มีเปลี่ยนแปลง”

หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นำกำลังบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และศาลได้อนุมัติหมายจับ 9 แกนนำ ในข้อหากบฏไปแล้ว ต่อมาในตอนดึก ศาลแพ่งก็มีคำสั่งให้กลุ่มพันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบโดยทันที แต่กลุ่มพันธมิตรฯก็ยังไม่ยอมออกตามคำสั่ง ล่าสุดศาลได้สั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้แล้วนั้น

พันธมิตรฯแจ้งตร.ว่าพบปืนเพียบ

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 04.30 น.วันที่ 29 ส.ค. เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ อายุ 55 ปี ประธานชุมชนกองทัพธรรม และนายกิตติชัย ใสสะอาด อายุ 45 ปี ชาวนครศรีธรรมราช เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.เอกพล ทวิชวงศ์ชัยกุล พงส. (สบ2) สน.ดุสิต ว่าผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ พบอาวุธปืนขนาดต่าง ๆ และเครื่องกระสุนจำนวนมากภายในห้องทำงานชั้น 2 ภายในทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่ได้ไล่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกจากทำเนียบทั้งหมดแล้ว ได้ไปตรวจสอบพบอาวุธปืนขนาดเอ็ม 16 จำนวน 17 กระบอก, เอสเค 33 จำนวน 13 กระบอก, เครื่องกระสุนปืนเอ็ม 16 จำนวน 3 ลัง เปิดใช้แล้ว 1 ลัง 6,000 นัด, กระสุนปืนขนาด.38 จำนวน 2,400 นัด และกระสุนปืนเอสเค 33 อีก 440 นัด เกรงจะถูกกล่าวหาว่าเป็นอาวุธที่กลุ่มพันธมิตรฯลักลอบนำมาเก็บไว้เพื่อต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเกรงจะเกิดการสูญหายเป็นอันตรายกับกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมตนจึงเดินทางเข้าแจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน

อาวุธปืนของตำรวจทำเนียบ

ต่อมาเวลา 05.30 น. วันเดียวกัน พ.ต.อ.ทรงชัย เทพสาร หน.กองตร.ประจำทำเนียบรัฐบาลได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สน. ดุสิต เปิดเผยว่า อาวุธปืนที่พบทั้งหมดเป็นอาวุธปืนที่มีไว้ใช้ในราชการ โดยสถานที่ที่พบก็เป็นที่ทำการของเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯเข้ายึดพื้นที่ทำเนียบตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดนำอาวุธปืนมาคืนและเก็บไว้ในห้องนิรภัยบนห้องทำงานดังกล่าว และทำบัญชีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ทั้งหมด ซึ่งนอกจากรายการที่เรือตรีแซมดินแจ้งไว้ก็ยังมีอาวุธปืนสั้นขนาด.38 และขนาดอื่นอีกประมาณ 150 กระบอก ซึ่งขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯผลักดันให้พวกตนออกจากพื้นที่ไม่ได้ตรวจสอบว่าห้องนิรภัยถูกปิดล็อกไว้ดีหรือไม่ ซึ่งคงต้องรายงานผู้บังคับบัญชาให้ทราบและประสานกลุ่มพันธมิตรฯเพื่อขอเข้าไปตรวจสอบและพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ศาลแพ่งรับคำร้องอุทธรณ์

ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาฯ ศาลแพ่งมีคำสั่งรับคำร้องอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และคำขอทุเลาการบังคับคดีตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาล ที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความแกนนำพันธมิตรฯ ยื่นต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลจึงมีคำสั่งให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยนายลอยเลื่อน บุนนาค รองเลขาธิการสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โจทก์ ส่งคำคัดค้านอุทธรณ์ ภายใน 15 วัน เพื่อเตรียมส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา ส่วนคำขอทุเลาการบังคับคดีในคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวนั้น ต้องรอจนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่ง

คดีนี้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายพิภพ ธงไชย, นายสุริยะใส กตะศิลา และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เป็นจำเลยที่ 1-6 เรื่องละเมิดและขับไล่พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบรัฐบาล ศาลแพ่งไต่สวนและมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ให้จำเลยกับพวกออกจากพื้นที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล รื้อถอนเวทีปราศรัย สิ่งกีดขวางทั้งหมด และให้เปิดพื้นที่จราจรบนถนนพิษณุโลก ถนนราชดำเนินทุกช่องจราจร และเมื่อวันที่ 28 ส.ค.ศาลแพ่งมีคำสั่ง แต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ตามคำขอของโจทก์เพื่อจัดการให้เป็นไปตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว หลังจากที่โจทก์แถลงข้อเท็จจริงต่อศาลว่าพวกจำเลยยังไม่ออกจากทำเนียบรัฐบาลตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแต่อย่างใด

จนท.บังคับคดีปิดหมาย 6 จุด

ต่อมาเวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่กองบังคับคดีได้นำหมายศาลเดินทางไปปิดในที่ต่าง ๆ 6 จุด โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล 4 กองร้อยคอยรักษาความปลอดภัย เดินแถวดาหน้าไปยังเวทีพันธมิตรฯที่ด้านสะพานมัฆวานฯ จุดแรกเจ้าหน้าที่ปิดที่เชิงสะพานมัฆวานฯ, หน้าเวทีพันธมิตรฯ, ด้านหลังเวทีพันธมิตรฯ, ที่ป้ายทางแยกมัฆวานฯ และที่ป้ายจราจรทางเข้าออกเวทีพันธมิตรฯ จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงเดินทางกลับไป

ตำรวจตามเข้ารื้อสิ่งกีดขวาง

ต่อมาเวลา 10.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลได้เพิ่มกำลังอีก 2 กองร้อยเป็น 6 กองร้อย นำโดย พล.ต.ต.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน รอง ผบช.น. นำกำลังเข้ารื้อแผงเหล็กด้านสะพานมัฆวาน ซึ่งพันธมิตรฯได้นำมากั้นไว้หลายต่อหลายชั้น รวมทั้งยางรถยนต์จำนวนมากที่ได้นำมากองไว้เป็นกำแพง แต่ถูกการ์ดของพันธมิตรฯเข้าขัดขวาง จนเกิดปะทะกันเล็กน้อย แต่เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรฯส่วนใหญ่เดินทางเข้าไปด้านในทำเนียบรัฐบาลหมด เหลือแต่ผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ายึดเวทีและรื้อถอนรั้วเหล็ก และยางรถยนต์ออกจากบริเวณนั้นจนหมด

พันธมิตรตั้งกำแพงมนุษย์ขวาง

ต่อมาเวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยอรินทราช 1 กองร้อยได้ปีนรั้วเข้าไปด้านในทำเนียบรัฐบาล เพื่อรอคำสั่ง ส่วนทำเนียบรัฐบาลด้าน ก.พ.ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าประชิดแต่อย่างใด แต่ด้านในพันธมิตรฯได้นำผู้หญิงประมาณ 500 คน มานั่งเป็นกำแพงมนุษย์ขวางอยู่ด้านในประตูไว้อย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันการบุกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่นเดียวกับที่สะพานชมัยมรุเชฐ กลุ่มพันธมิตรฯได้ตั้งแถวเป็นกำแพงมนุษย์อย่างแน่นหนาหลังรั้วที่ตั้งขวางไว้ ในขณะที่ด้านหลังรั้วมีเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล 2 กองร้อยเข้ามาประจันหน้าอยู่ ส่วนบนเวทีได้ประกาศว่า เวลานี้ศาลได้รับคำร้องอุทธรณ์คดีไว้แล้ว ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมต่างพากันโห่ร้องแสดงความยินดี

พบอาวุธสะสมในเต็นท์เพียบ

ต่อมาเวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด. 2 กองร้อย ได้เข้ามาตั้งแถวเชิงสะพานมัฆวานฯ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ผู้ที่จะเดินเข้าไปภายในเข้าอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มพันธมิตรฯมีกำลังเพิ่ม หลังจากที่ได้เดินทางกลับบ้านไปแล้ว ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและ กทม.ได้ช่วยกันเข้ามารื้อเต็นท์และสิ่งกีดขวางหลายอย่างโดยรอบสะพานมัฆวานฯ แต่ยังไม่ได้รื้อเวทีแต่อย่างใด ส่วนตามเต็นท์ต่าง ๆ ของพันธมิตรฯที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ารื้อ เจ้าหน้าที่พบไม้กอล์ฟนับร้อย ๆ อัน ใบกระท่อม ไม้หน้าสามที่ตอกตะปูไว้โดยรอบ หนังสติ๊กจำนวนมากที่เตรียมหัวนอต และลูกเหล็กไว้เป็นกระสุนเป็นถุงขนาดใหญ่จำนวนมาก นอกจากนั้นยังพบขวดกระทิงแดงที่ถูกดัดแปลงเป็นระเบิดเพลิงอีกจำนวนมาก

ปิดกั้นถนนกันพันธมิตรเสริม

เวลา 13.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล 5 กองร้อย ได้เสริมกำลังเข้ามาขวางที่แยกมิสกวัน เนื่องจากมีกลุ่มพันธมิตรฯ 300-400 คนได้รวมตัวกัน พยายามจะเข้าไปเสริมที่ด้านในทำเนียบรัฐบาลอีก แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดไว้ เช่นเดียวกับที่ด้านหน้าวิทยาลัยพณิชย การพระนคร เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถลำเลียงผู้ต้องหา มาจอดเรียงปิดถนนโดยสิ้นเชิง พร้อมกับสกัดกั้นไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องผ่านเข้าไปด้านในได้อย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกันได้มีรถพยาบาลจากวชิรพยาบาล และหน่วยงานอื่น ๆ 6-7 คันทยอยเข้ามาจอดเรียงราย ภายในรถมีทั้งแพทย์และพยาบาลพร้อมทุกคัน โดยเจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า ได้เตรียมรถพยาบาลมาประจำ 4 จุด เพื่อรับคนบาดเจ็บจัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนที่จะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลต่อไป

พันธมิตรเจ็บ 2 เข้า รพ.วชิระ

นายชัยวัน เจริญโชคทวี ผอ.รพ.วชิรพยาบาล เปิดเผยว่า ผลการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ มีกลุ่มพันธมิตรฯได้รับบาดเจ็บมารักษาตัวที่วชิรพยาบาล 2 คนบาดเจ็บเล็กน้อย เช่น หัวร้างข้างแตก และเดินทางมาด้วยตนเองขณะนี้กลับบ้านไปแล้ว ส่วนที่ รพ.กลาง รพ.รามาธิบดี และ รพ.ศิริราช ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้บาดเจ็บไปรักษาตัว อย่างไรก็ตามหากมีบาดเจ็บนับพันคน รพ.วชิระ ก็รับมือได้ขอให้มั่นใจ ขณะนี้ได้เตรียมเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งรถฉุกเฉินไว้ตลอด 24 ชม.

“สุชาติ”บัญชาการเหตุการณ์

สำหรับกำลังที่เข้าเคลียร์พื้นที่บนถนนราชดำเนินนั้น พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. ได้มอบภาระหน้าที่การบัญชาการเหตุการณ์ให้กับ พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รอง ผบช.น. ว่าที่ ผบช.น.คนใหม่ เข้ารับหน้าที่ พร้อมสั่งการให้ พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.1 นำกำลังตำรวจ 41 กองร้อยเข้าดำเนินการใน 4 จุดพร้อมกัน ได้แก่ ด้านลานพระบรมรูปทรงม้า จากด้านถนนพิษณุโลก จากด้านสะพานมัฆวานฯ และจากด้านในทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่ส่งกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปก่อนแล้ว และเมื่อเวลา 12.00 น. เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังกันเข้าสกัดกั้นในถนนผดุงกรุงเกษม ไม่ให้มีกำลังพันธมิตรฯเข้ามาเสริม ที่เชิงสะพานมัฆวานฯ และที่ด้านหลังกระทรวงศึกษาธิการ

ยื่นศาลปค.ให้ยุติ“เอเอสทีวี”

เมื่อเวลา 12.00 น. นายศักดา นพสิทธิ์ อ้างว่าตนเองเป็นนักกฎหมายภาคตะวันออก ใช้ชื่อกลุ่มยุติธรรมไทย ได้เดินทางไปยังศาลปกครอง แจ้งวัฒนะ เพื่อยื่นหนังสือถึง นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ขอให้ศาลปกครองสูงสุดยุติการออกอากาศของเอเอสทีวี โดยมีเนื้อหาระบุว่า หลังจากที่ศาลได้อนุมัติหมายจับแกนนำพันธมิตรฯทั้ง 9 คนได้กระทำผิด ตามมาตรา 113, 114, 215 และ 216 ในข้อหากบฏ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ได้ระบุว่าผู้ต้องหา ทั้ง 9 คน ได้ร่วมกับพวกกระทำการระดมประชาชนผ่านสื่อเอเอสทีวี โจมตีรัฐบาลและบุคคลอื่น นอกจากนี้กลุ่มพันธมิตรฯได้ใช้สถานีเอเอสทีวีออกอากาศให้ประชาชนทั่วประเทศขัดขืนคำสั่งของศาลอาญาและคำสั่งของศาลแพ่งจึงเห็นชัดว่าขณะนี้สถานีเอเอสทีวีคือเครื่องมือของกลุ่มพันธมิตรฯที่ใช้ต่อต้านอำนาจบริหารและอำนาจตุลาการเป็นความผิดที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง หากไม่แก้ไขประเทศไทยและสังคมไทยก็อาจจะวิบัติได้

ระบุทำให้เกิดความแตกแยก

หนังสือระบุอีกว่า การที่ศาลปกครองได้ให้การคุ้มครองชั่วคราวกับสถานีเอเอสทีวีให้สามารถออกอากาศได้ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้คนในสังคมเกิดความแตกแยก และมีทัศนคติที่เกลียดชังกันจนนำไปสู่การไม่ยอมรับกติกาของบ้านเมืองจึงใคร่ขอให้ได้ใช้อำนาจหน้าที่พิจารณาให้สถานีเอเอสทีวีหยุดออกอากาศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการฟ้องให้เอเอสทีหยุดออกอากาศนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด หลังจากที่ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งว่า เอเอสทีวีสามารถเผยแพร่ภาพได้ ทำให้สำนักนายกรัฐมนตรีได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งก็อยู่ระหว่างการพิจารณา

“สนธิ”ลั่นได้ใช้ประชาภิวัฒน์

เวลา 12.00 น. ภายในทำเนียบรัฐบาล ได้จัดเอาเฉพาะผู้หญิงมานั่งเป็นกำแพงมนุษย์ปิดกั้นตามประตูต่าง ๆ ภายในทุกประตู และที่ประตูที่ 7 ได้นำเอาแบตเตอรี่รถยนต์มาต่อสายหนีบเข้ากับประตู เพื่อเอาไว้ช็อตตำรวจหากมีการบุกเข้ามาพังประตู ส่วนแกนนำพันธมิตรฯ ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีเรียกร้องระดมคนให้เข้ามาในทำเนียบฯให้มากที่สุด หากเข้าไม่ได้ให้ไปรวมตัวกันในแต่ละจังหวัด เช่น ภูเก็ต หรือสงขลา ให้ไปรวมตัวกันที่สนามบิน ที่ตรังให้ไปรวมตัวที่ศาลากลาง ส่วนในกรุงเทพฯให้ไปรวมตัวในพื้นที่ต่าง ๆ และประสานงานเข้ามา หากเข้าไม่ได้จริง ๆ ให้ไปโอบล้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ เนื่องจากเวลานี้ตำรวจได้โอบล้อมพันธมิตรฯไว้หมดทุกด้านแล้ว

เวลา 13.45 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ขึ้นเวทีอีกครั้ง ประกาศว่าเราใกล้ที่จะได้รับชัยชนะแล้ว เราจะต้องใช้ประชาภิวัฒน์ให้ได้ เพราะคนที่สนับสนุนเราหนาแน่นมากขึ้นทุกที ขณะเดียวกัน กลุ่ม ส.ว.ประมาณ 20 คน นำโดย นางสาวรสนา โตสิตระกูล ได้เดินทางเข้ามาในทำเนียบรัฐบาล ขึ้นเวทีกล่าวให้กำลังใจกลุ่มพันธมิตรฯด้วย

“สมัคร” ระบุตร.ทำตามคำสั่งศาล

ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อเวลา 12.30 น. ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ บริเวณรอบนอกทำเนียบฯ และเวทีชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยังรับผิดชอบตามที่ได้สั่งการไว้ ซึ่งรายงานสุดท้ายตำรวจก็ยังดำเนินการตามที่สั่งไว้อยู่ ส่วนการบุกเข้าเคลียร์พื้นที่ในจุดอื่น ๆ นั้นก็เป็นไปตามคำสั่งศาล หลังจากนี้ก็จะได้เข้าไปขอร้องผู้ชุมนุมให้ออกนอกทำเนียบฯ ซึ่งก็เหลืออยู่เพียงบริเวณสนามด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้าเท่านั้น เมื่อถามว่าการเข้าไปรื้อถอนเวทีที่สะพานมัฆวานฯนั้นอยู่ในแผนด้วยหรือไม่ นายสมัคร กล่าวว่า ตำรวจดำเนินการทั้งหมดตามคำสั่งศาล

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการจับกุมแกนนำพันธมิตรฯทั้งหมดให้ได้วันนี้หรือไม่ นายสมัคร กล่าวว่า “เรื่องอื่นอย่าให้ผมตอบเลย เพราะผมเองก็อยู่ที่ดีเอสไอมา 3 ชั่วโมงตั้งแต่เช้า ต้องขอความกรุณา”

“ปฐมพงษ์” รับไม่ได้คนไทยตีกัน

เวลา 13.30 น. พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษร ศุกร์ ได้แต่งเครื่องแบบเต็มยศมาสังเกตการณ์ พร้อมกล่าวว่า เมื่อเช้านั่งดูทีวีเห็นคนไทยใช้กำลังกับคนไทยด้วยกันแล้วรับไม่ได้ ไม่อยากให้ใช้กำลังรุนแรงกับประชาชน อยากทราบว่า รัฐบาลที่ประชาชนไม่เอา จะปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร อยากให้ทุกฝ่ายไม่ใช้กำลังกับประชาชน อยากให้พูดคุยกันเพราะเป็นคนไทยด้วยกัน ทำไมไม่พูดคุยกัน สิ่งที่เห็นหากเป็นการรบกับเขมรจะไม่ว่า แต่นี่เป็นคนไทยด้วยกันไม่ควรทำ

ต่อมาเวลา 14.15 น. กลุ่ม ส.ว.นำโดย นางสาวรสนา โตสิตระกูล ได้เดินทางมาเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยกล่าวว่าเข้าใจ เพราะเห็นว่าตำรวจเหนื่อย แต่ก็ไม่อยากเห็นคนไทยตีกันเอง

ตร.ยันไม่ได้สลายการชุมนุม

เวลา 12.30 น. พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษก สตช. แถลงข่าวยืนยันว่า การนำกำลังตำรวจเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลและพื้นที่โดยรอบนั้น เป็นการดำเนินการตามคำสั่งศาลแพ่งและคำร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ได้รับแต่งตั้งจากศาล ไม่ใช่การสลายการชุมนุมแต่อย่างใด เป็นเพียงการเข้าควบคุมพื้นที่และผลักดันพี่น้องประชาชนที่อยู่ภายในให้ออกนอกบริเวณพื้นที่ที่ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเท่านั้นโดยใช้ความละมุนละม่อมนุ่มนวลที่สุด ขณะเดียวกันได้สกัดกั้นไม่ให้ประชาชนที่อยู่ด้านนอกเข้าไปด้านในโดยไม่มีการใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด

รองโฆษก สตช. กล่าวประชาสัมพันธ์ชี้แจงทำความเข้าใจไปยังพี่น้องประชาชนโดยทั่วกันว่า ตำรวจจะเฝ้าควบคุมสถานการณ์อย่างต่อเนื่องให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและประกาศ แจ้งให้คนที่อยู่ภายในออกมาให้หมด ซึ่งการปฏิบัติทุกขั้นตอนมีการบันทึกภาพถ่ายภาพวิดีโอไว้เป็นหลักฐานทั้งสิ้นสามารถตรวจสอบได้ชัดเจน ส่วนการรื้อถอนเวทีปราศรัยและสิ่งปลูกสร้างนั้น เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่ต้องดำเนินการต่อไป แต่ทั้งนี้ต้องรอประสานการปฏิบัติจากเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย ส่วนกรณีที่มีกลุ่มชายฉกรรจ์ต่อสู้ขัดขวางการ ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อให้เกิดความรุน แรงนั้น จะพิจารณาเป็นราย ๆ ไปว่าเข้าข่ายต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานหรือไม่ ขอยืนยันอีกครั้งว่า ตำรวจจะปฏิบัติหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ด้วยความนุ่มนวลไม่ให้เกิดความรุนแรงเสียเลือดเสียเนื้อแต่อย่างใด

ติดประกาศ บังคับคดี 5 จุด

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ตำรวจได้นำเจ้าหน้าที่กองบังคับคดีไปติดประกาศ 5 จุด มีลานพระบรมรูปทรงม้า, แยกสวนมิสกวัน, สะพานมัฆวานฯ, สะพานอรทัย และทำเนียบรัฐบาล ตำรวจมีความจำเป็นต้องดูแลให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติหน้าที่ โดยสะดวก ซึ่งยังมีกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้าน ขัดขวาง จนเกิดการปะทะไปบ้าง แต่ตำรวจก็พยายามจะไม่ให้เกิดความรุนแรง ดำเนินการไปตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือตามคำร้องขอ เมื่อติดประกาศไปแล้ว ทางตำรวจจะเข้าควบคุมพื้นที่บริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาล สั่งให้รื้อถอนสิ่ง กีดขวาง เช่น เต็นท์ เวทีปราศรัย ต้องทำตามขั้นตอน มีการบันทึกตรวจสอบข้าวของต่าง ๆ ของผู้ชุมนุม ถ่ายรูป ทำบัญชีลงบันทึก กำหนดพื้นที่จัดเก็บไว้ชัดเจน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่กองบังคับคดีจะรายงานให้ศาลทราบ ส่วนบริเวณภายในทำเนียบฯ ก็จะห้ามคนเข้าไปด้านใน หากผู้ชุมนุมจะออกมาก็สามารถทำได้ ตำรวจยังไม่มีการควบคุมตัวใคร หลังจากนี้ตำรวจก็จะเข้าไปเจรจากับแกนนำให้ดำเนินตามคำสั่งศาล ขณะเดียวกันแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ยื่นคำร้องขออุทธรณ์ต่อศาล ซึ่งทราบว่าศาลได้รับคำร้องแล้ว ทางตำรวจยังคงยืนยันยึดตามคำสั่งศาลเดิม จนกว่าจะมีคำสั่งออกมาใหม่ การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะนี้เป็นไปตามคำสั่งศาลเดิมที่ออกมาเพื่อให้ประชาชนที่ติดตามสถานการณ์ในประเทศและต่างประเทศเกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมอำนาจตุลาการเกิดความเชื่อมั่นปรากฏต่อสังคม หากไม่ดำเนินการใด ๆ สังคมก็จะมองว่า คำสั่งตุลาการที่ชี้ผิดถูกไม่ศักดิ์สิทธิน่าเชื่อถือ

รายละเอียดคำสั่งบังคับคดี

นอกจากนี้ รองโฆษก สตช. ยังได้อ่านประกาศคำร้องขอจากเจ้าหน้าที่กองบังคับคดี ได้รับการแต่งตั้งโดยศาลอีกครั้งให้รับทราบโดยทั่ว กันว่า ประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี ลงวันที่ 29 ส.ค. 2551 คดีระหว่างสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และพวกรวม 6 คน เป็นจำเลย เจ้าพนักงานบังคับคดี กองยึดทรัพย์ ขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่าศาลแพ่งให้จำเลยทั้ง 6 ได้แก่นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพ บูลย์ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายสุริยะใส กตะศิลา ออกจากทำเนียบรัฐบาล และบริเวณพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลทั้งหมด ให้จำเลยทั้ง 6 ดำเนินการให้กลุ่มผู้ชุมนุม และให้รื้อถอนเวทีปราศรัยรวมทั้งสิ่งกีดขวางอื่น ๆ ออกไปจากบริเวณดังกล่าว

ให้จำเลยทั้ง 6 ดำเนินการเปิดพื้นที่การจราจร ถนนพิษณุโลก ถนนราชดำเนิน เพื่อให้ประชาชน คณะรัฐมนตรี ข้าราชการและผู้ปฏิบัติงานในทำเนียบรัฐบาล สามารถเข้า-ออกเพื่อปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสะดวก จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ให้คำสั่งนี้มีผลทันที แต่จำเลยทั้ง 6 ไม่ปฏิบัติตาม จึงประกาศให้จำเลยทั้ง 6 ปฏิบัติตามคำสั่งศาลทันที มิฉะนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมายต่อไป

ตำรวจโชว์อาวุธที่ยึดมาได้

พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษก สตช. พร้อมพนักงานสอบสวนตรวจสอบอาวุธที่กลุ่มพันธมิตรฯเตรียมการไว้ปะทะเจ้าหน้าที่ตำรวจซุกซ่อนภายในเต็นท์จำนวนมาก หลังตรวจ ยึดมาได้ขณะรื้อเต็นท์หน่วยรักษาความปลอดภัยผู้ชุมนุม-นักรบศรีวิชัย ประกอบด้วย ไม้คมแฝกนับร้อย ๆ ท่อน กระสุนปืน อาวุธปืนปลอม มีดดาบใช้เป็นด้ามพัน มีดพก ไม้หน้าสามตอกตะปูปลายไม้ และไม้กอล์ฟ ไม้เบสบอล ท่อน เหล็ก จำนวนมาก ระเบิดขวด น้ำมันบรรจุใส่ถังแกลลอน 8 ถัง หนังสติ๊ก ลูกแก้วจำนวนหลายร้อยลูก นอกจากนี้ยังพบใบกระท่อมอีกจำนวน 3 ถุง และ 4 คูณร้อยประมาณ 50 ขวด โดย เจ้าหน้าที่ตำรวจขนใส่รถกระบะขนมา กองไว้ตรวจสอบภายในกองบัญชาการตำรวจนคร บาลและยึดไว้เป็นของกลาง

พล.ต.ต.สุรพล กล่าวถึงกรณีอาวุธปืนของตำรวจสันติบาลที่หายไปว่า ทางสันติบาลได้รายงานให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ทราบว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้สื่อมวลชนทราบในทันที นอกจากนี้ยังตอบข้อซักถามถึงกรณี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ออกมาให้ข่าวว่าจะเข้าร่วมเป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯหาก พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ถูกจับกุมว่า ยังไม่ทราบต้องรอให้มีการแต่งตั้งเป็นทางการก่อน เชื่อว่าเป็นข้อเสนอของ พล.อ.พัลลภ ไม่ใช่เป็นความต้องการของกลุ่มพันธมิตรฯ ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าแกนนำจะตัดสินใจอย่างไร

พันธมิตรฯบุกยึดราชดำเนินคืน

ต่อมาเวลา 14.35 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำฝ่ายค้านฯ พร้อม ส.ส.ประชาธิปัตย์ 10 คน เดินทางมายังบริเวณสะพานมัฆวานฯ มาเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่เข้ารักษาตัวอยู่ในเต็นท์ต่าง ๆ ที่บริเวณ นั้น ขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรฯ ภายในทำเนียบรัฐบาลประมาณ 2,000 คนได้ออกมารวมตัวกัน แถวหน้าคล้องแขนเป็นกำแพงมนุษย์เป็นแถว ๆ ต่อเนื่อง ส่วนตรงกลางเป็นรถกระจาย เสียงโดยมีผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ได้เคลื่อนขบวนจากถนนลูกหลวงติดทำเนียบฯ มุ่งหน้ามายังสะพานมัฆวานฯ โดยฝ่าด่านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ตั้งขวางไว้ แต่เนื่องจากกลุ่มพันธมิตรฯมีเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องยอมปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯเข้ายึดพื้นที่ในถนนราชดำเนินที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการได้ตามเดิม ขณะเดียวกันกลุ่มพันธมิตรฯที่ต้องการเข้ามาเสริมในพื้นที่อีกหลายพันคน จึงพากันเข้ามาเสริมกับกลุ่มพันธมิตรฯที่เคลื่อนขบวนออกมารับบนถนนราชดำเนินได้อีกครั้ง ทำให้ถนนราชดำเนินในขณะรายงานข่าวนี้ กลุ่มพันธมิตรฯได้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นนับหมื่นคน และกลับมายึดถนนราชดำเนินปิดถนนได้อีกครั้งตั้งแต่แยกสะพานมัฆวานฯ มาจนถึงแยกพระบรมรูปทรงม้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนั้นเอง พล.อ. ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ และพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ได้เดินทางเข้ามายังกลุ่มพันธมิตรฯ พร้อมกับกล่าวให้กำลังใจที่สามารถช่วยกันยึดเวทีที่สะพานมัฆวานฯ คืนได้ ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมพากันโห่ร้อง ด้วยความดีใจ

ขนหมวกกันน็อกให้พันธมิตรฯ

ต่อมาเวลา 15.10 น. นายศิริชัย ไม้งาม เลขาธิการสมาพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ได้ออกมารับมอบหมวกกันน็อก 2,000 ใบที่มีผู้นำมาบริจาคให้กับพันธมิตรฯ พร้อมกับโทรโข่งจำนวนหนึ่ง โดย นายศิริชัย กล่าวว่า จะได้นำหมวกกันน็อกไปแจกจ่ายให้กับพันธมิตรฯที่อยู่ด้านหน้า หลังจากที่เมื่อ เช้านี้ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตีหัวบาดเจ็บไปหลายคน รวมทั้งโทรโข่งที่ถูกทำลายไปจำนวนมากด้วย นอกจากนี้ทางสมาพันธ์ฯยังได้แจ้งไปยังสมาชิก 1.8 แสนคน ให้พร้อมใจกันหยุดงานเข้ามาร่วมชุมนุมกันที่ทำเนียบรัฐบาล

“อภิสิทธิ์-รสนา”ชี้แก้ที่การเมือง

ต่อมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าพบ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ที่ บช.น. เพื่อสอบถามสถานการณ์ โดย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าไม่อยากให้เกิดความรุนแรง อยากให้ทุกฝ่ายดูแลการทำตามคำสั่งของศาลให้ดีที่สุด อีกทั้งไม่ต้องการให้ เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องแก้ด้วยการเมือง

ด้าน นางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว. กรุงเทพฯ ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.เช่นกัน พร้อมกล่าวว่า อยาก ขอร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกคำสั่งว่า อย่าใช้ความรุนแรง หลังจากมีภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปืนจ่อศีรษะและทำร้ายผู้ชุมนุม ซึ่งเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ อาจทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้ ตนเชื่อว่าการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ การเจรจาให้แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯและรัฐบาลตั้งโต๊ะคุยกันแก้ไขด้วยกฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องแก้ปัญหาทางการเมืองด้วย

ต่อมาได้มีกลุ่มพันธมิตรฯประมาณ 100 คน เดินทางมาปิดทางเข้า-ออกที่ บช.น. เพื่อประท้วงที่ตำรวจทำร้ายผู้ชุมนุมบริเวณสะพาน มัฆวานฯ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดกำลังตำรวจ ปราบจลาจลเข้ามารักษาการณ์ ปิดประตูทางเข้า กลุ่มผู้ชุมนุมยืนประท้วงประมาณชั่วโมงเศษจึงกลับไป

ทนายยื่นศาลให้ถอนหมายจับ

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ เมื่อเวลา 15.00 น. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ เดินทางมายื่นคำร้องขอเพิกถอนหมายจับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล, พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายพิภพ ธงไชย, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตร, นายอมร อมรรัตนานนท์, นาย ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และนายเทิดภูมิ ใจดี แนวร่วมพันธมิตรฯ ผู้ต้องหาที่ 1-9 ที่ศาลอาญามีคำสั่งให้ออกหมายจับ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ในความ ผิดฐานใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

ตามคำร้องสรุปว่า ผู้ร้อง ไม่เห็นด้วย กับการออกหมายจับดังกล่าว เพราะการออกหมายจับจะต้องปฏิบัติตาม ป.อาญา ม.66 (2) ประกอบกับข้อบังคับประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีเกี่ยวกับการออกคำสั่งหรือ หมายอาญา พ.ศ. 2548 กล่าวคือ การที่ศาลได้ไต่สวนและฟังพยานของฝ่ายพนักงานตำรวจแล้วเชื่อว่ามีพยานหลักฐานตามควรว่าผู้ร้องทั้งเก้าได้ร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.83, 91, 113, 114, 116, 215, 216 นั้น เป็นกรณีที่พนักงานสอบสวนบิดเบือน โดยนำข้อเท็จจริงเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์กับตน มาเสนอต่อศาล ทำให้ศาลไม่ทราบข้อเท็จจริง ทั้งหมดที่ผู้ร้องทั้งเก้าดำเนินการ ศาลรับคำร้องไว้พิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป

สนง.เลขาฯยื่นขอบังคับคดีต่อ

ขณะเดียวกันที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดา ภิเษก นายเมธี ใจสมุทร ทนายความโจทก์ คดีที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดย ลอยเลื่อน บุนนาค ยื่นฟ้อง 5 แกนนำพันธมิตรฯ และนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ เป็นจำเลย เรื่องละเมิด ขับไล่พันธมิตรฯออกทำเนียบรัฐบาล เดินทางมายื่นคำร้องขอให้ศาล มีคำสั่งบังคับคดีอย่างต่อเนื่อง กรณีที่ให้มีการบังคับคดีตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งที่สั่งให้จำเลยทั้งหกกับพวกออกจากพื้นที่ทำเนียบ รัฐบาล และรื้อถอนเวทีปราศรัย สิ่งกีดขวาง ออก จากทำเนียบทั้งหมด และให้เปิดถนนพิษณุโลก และราชดำเนินทุกช่องจราจร โดยนายเมธี ทนายความ กล่าวว่า เหตุที่ยื่นเป็นไปตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเกรงว่าจำเลยจะเข้าใจผิดตีความเข้าข้างตัวเองว่าคำสั่งคุ้มครองของศาลมีผลเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ขึ้นจนถึง พระอาทิตย์ตก อีกทั้งขณะนี้การบังคับคดีตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็ยังไม่แล้วเสร็จ ดังนั้นจึง ขอให้ศาลมีคำสั่งที่ชัดเจนที่จะให้บังคับต่อเนื่องไปจนถึงหลังพระอาทิตย์ตก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำสั่งศาล

พันธมิตรฯโพสต์ภาพตร.โหด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯ บุกเข้ายึดถนนราชดำเนินกลับคืน มาได้ ต่างพากันมาเดินดูความเสียหายที่ตำรวจบุกเข้ารื้อเต็นท์ต่าง ๆ และยึดข้าวของไปจำนวนมาก หลายคนพากันมาเดินถ่ายภาพไว้ แล้วนำไปโพสต์ลงในเว็บไซต์เพื่อประกาศให้คนได้รู้ถึงความเสียหาย รวมถึงมีบางภาพที่ตำรวจทำร้ายคนแก่ที่อยู่ในที่ชุมนุม และยังมีภาพที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธปืน จ่อหัวกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วย ซึ่งทั้งสองภาพได้ก่อให้เกิดอารมณ์โกรธให้กับผู้ที่ ได้เห็นภาพเป็นอย่างมาก

ขณะเดียวกันกลุ่มนักรบศรีวิชัย ได้ใช้ความพยายามปีนเสาสัญญาณไฟที่ติดกล้องซีซีทีวีไว้ตามแยกต่าง ๆ โดยรอบทำเนียบรัฐบาล แล้วนำถุงดำขึ้นไปครอบกล้องซีซีทีวีไว้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ได้สอดส่องความเคลื่อนไหวภายในทำเนียบรัฐบาลได้

ยกพลล้อม ตชด.ที่สนามม้า

ต่อมาเวลา 16.10 น. กลุ่มพันธมิตรฯนับพันคนนำโดย นายศิริชัย ไม้งาม พากันเดินออกจากบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ มุ่งหน้ามาตามถนนพิษณุโลก มาปิดทางเข้าออกสนามม้านางเลิ้ง ซึ่งเป็นที่รวมตัวกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด. พร้อมกับด่าว่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ส่วนหนึ่งได้ช่วยกันปล่อยลมรถตำรวจที่จอดอยู่จำนวนมาก ทำให้ยางรถแบนทั้งหมด โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.ได้เข้าสลายการชุมนุมเมื่อตอนสายวันนี้ ทำให้มีพันธมิตรฯได้รับบาดเจ็บหลายคน และขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯปิดล้อมบริเวณสนามม้านางเลิ้งอยู่นั้น เมื่อมีรถตำรวจผ่านมา ทั้งหมดก็จะพากันโห่ร้องด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคายเช่นกัน

ขู่ให้ส่งตัวคนลุยม็อบมาให้

ตั้งแต่บุกยึดเวทีบนถนนราชดำเนินคืนมาได้ แกนนำพันธมิตรฯ ต่างผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีปลุกระดมไม่ให้ทุกคนกลับออกไป จนกระทั่ง เวลา 16.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ขึ้นประกาศว่า จากมติของ 5 แกนนำ ต้องการให้ตำรวจส่งตัวผู้ที่สั่งการให้บุกพันธมิตรฯ และใช้อาวุธตีพันธมิตรฯจนบาดเจ็บหลายคนมาให้ภายในเวลา 19.00 น.วันนี้ ถ้าไม่ส่งมาจะสั่งให้พันธ มิตรฯ ยกพลบุกไป บช.น. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้ง สน.นางเลิ้ง ทันที รับรองว่าเมื่อถึงเวลานั้นทุก สน.จะลุกเป็นไฟ

ศาลระบุให้ออกจากทำเนียบ

ต่อมาเวลา 17.00 น. ศาลแพ่งได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่ง โดยเห็นว่าเนื่องจากทนายจำเลยทั้ง 6 ได้ยื่นคำร้องอ้างว่าได้มีการอาศัยหมายบังคับคดีที่ศาลออกตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ไปดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจน ศาลจึงเห็นควรอธิบายคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวฉบับลงวันที่ 27 ส.ค. 51 ให้คู่ความเข้าใจให้ชัดเจน กล่าวคือ ตามคำสั่งที่ระบุว่า “จึงมีคำสั่งให้จำเลยทั้งหก ออกจากทำเนียบรัฐบาลและบริเวณพื้นที่ทำเนียบฯ ทั้งหมด ให้จำเลยทั้ง 6 ดำเนินการให้กลุ่มผู้ชุมนุม และรื้อถอนเวทีปราศรัยรวมทั้งสิ่งกีดขวางอื่น ๆออกไปจากบริเวณดังกล่าว” ซึ่งการแปลความคำสั่งต้องอ่านทั้งประโยคต่อเนื่องกัน แล้วจะได้ความว่า คำว่าออกไปจากบริเวณดังกล่าวหมายถึง ออกไปจากพื้นที่บริเวณทำเนียบฯเท่านั้น

ให้มีผลบังคับแก่จำเลยทันที

ในส่วนคำสั่งที่ระบุว่า “ให้จำเลยทั้ง 6 ดำเนินการให้เปิดพื้นที่จราจรถนนพิษณุโลก ถนนราชดำเนิน เพื่อให้ประชาชน คณะรัฐมนตรี โจทก์ ข้าราชการและผู้ปฏิบัติงานในทำเนียบฯสามารถเข้าออกเพื่อปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสะดวก” นั้น เป็นคำสั่งที่ต่อเนื่องกัน การแปลความจึงต้องอ่านข้อความในคำสั่งทั้งประโยค มิใช่นำข้อความส่วนใดส่วนหนึ่งของประโยคมาแปลความ ดังนั้นเมื่ออ่านประโยครวมแล้วมีความหมายว่า การเปิดพื้นที่จราจรถนนพิษณุโลกและถนนราชดำเนินนั้น เป็นการให้เปิดพื้นที่จราจรของถนนดังกล่าวที่ติดกับทำเนียบฯ เพื่อให้สามารถเข้าออกเพื่อปฏิบัติหน้าที่โดยสะดวกเท่านั้น ในส่วนของคำสั่งที่ระบุว่า “ให้คำสั่งนี้มีผลทันที” หมายถึงให้คำสั่งมีผลบังคับแก่จำเลยได้ทันที แม้จำเลยจะยังมิได้รับการแจ้งคำสั่ง ส่วนการบังคับคดีจะดำเนินการได้เพียงใด ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

สั่งให้เลื่อนบังคับคดีไปก่อน

ทั้งนี้สืบเนื่องจากจำเลยทั้งหก ได้ ยื่นอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีต่อศาลเมื่อวันที่ 28 ส.ค. ซึ่งศาลมีคำสั่งรับอุทธรณ์และรับคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีของจำเลยทั้ง 6 แล้วนั้น วันนี้จำเลยทั้ง 6 ได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีโดยฉุกเฉินอย่างยิ่ง อ้างว่าโจทก์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปบังคับคดีโดยรื้อถอนเวทีที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 เบญจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อาศัยหมายบังคับคดีของศาลเข้าทุบตีร่างกายประชาชน ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้ส่งศาลอุทธรณ์พิจารณา เห็นว่าหากยังคงให้มีการบังคับคดีต่อไปจะเกิดความเสียหาย จึงเห็นควรให้งดการบังคับคดีไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292 (2) จนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งหรือคำพิพากษา แจ้งคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ เบื้องต้นให้แจ้งคำสั่งทางโทรสารก่อน และให้รวบรวมถ้อยคำสำนวน ส่งศาลอุทธรณ์โดยเร็ว

บุก บช.น.ให้ปล่อยผู้ต้องหา

ส่วนที่ด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กลุ่มพันธมิตรฯประมาณ 1,000 คนได้นำรถเครื่องขยายเสียง มายึดถนนที่หน้า บช.น. ปิดล้อม ขึ้นกล่าวโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่บุกเข้าทำลายข้าวของ ทำให้มีทรัพย์สิน เสียหาย และสูญหายจำนวนมาก พร้อมกับเรียกร้องให้ส่งตำรวจที่บุกเข้าตีม็อบให้ออกมา และยังเรียกร้องให้ตำรวจปล่อยผู้ต้องหา 82 คนที่ถูกจับไปขณะบุกยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ภายในคืนนี้ด้วย ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้จัดชุดปราบจลาจล 150 นายเข้ามาดูแล โดย พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น.ได้ลงมาดูเหตุการณ์ด้วยตัวเอง

ม็อบพังประตูเจอแก๊สน้ำตา

ต่อมา นายการุณ ใสงาม นายวัชระ เพชรทอง ได้มาเป็นแกนนำ มีผู้มาร่วมประมาณ กว่า 2 พันคน พยายามพูดจายั่วยุเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ส่งตัว พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รอง ผบช.น. ผู้ที่รับผิดชอบการบุกม็อบที่เวทีเชิง สะพานมัฆวานฯออกมาให้กับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยกลุ่มคนเริ่มโกรธแค้นขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่มีการพูดยั่วยุ เรียกร้องให้ตำรวจชดใช้โทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง จักรยาน 1 คัน และเงินภายในตู้รับบริจาคจำนวนหนึ่งด้วย

ต่อมาเวลา 19.00 น. ขณะที่กลุ่ม พันธมิตรฯได้ตรงเข้าเขย่าประตู บช.น. เพื่อจะพังประตูเข้าไป ในขณะที่ด้านในเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสื่อมวลชนจำนวนมากก็รออยู่ ที่ด้านนอกได้เกิดเสียงดังคล้ายปืนแก๊ป 3-4 ครั้ง จากนั้นก็เกิดควันพุ่งขึ้นในฝูงชนของกลุ่มพันธมิตรฯ และมีเสียงตะโกนผ่านเครื่องขยายเสียงว่า ตำรวจยิงแก๊สน้ำตา จากนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นที่ด้านนอก

ส่วนที่ด้านใน บช.น. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. ได้ยืนบัญชาการอยู่อย่างเหนียวแน่น โดยยังไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น พร้อมประกาศว่าไม่ต้องหนีไม่ต้องถอย ตนพร้อมรับผิดชอบเพราะไม่ได้ทำอะไรเลย เรื่องที่เกิดขึ้นด้าน นอกประตูตำรวจไม่ได้เป็นผู้ทำ ต่อมาทางกลุ่มพันธมิตรฯได้ยิงแก๊สน้ำตาข้ามรั้ว บช.น. เข้ามาตกที่ด้านหน้าตึก บช.น. ทำให้ พล.ต.ท.อัศวิน สั่งตำรวจเตรียมพร้อม สั่งรถดับเพลิงเข้าประจำที่ พร้อมแก๊สน้ำตาและกระสุนยางเต็มกำลัง

“สำราญ”ระดมคนบุก บช.น.

ด้าน นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ผอ. ศูนย์นเรนทร เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้ส่งรถกู้ชีพมาปฏิบัติหน้าที่โดยรอบทำเนียบรัฐบาลเกือบ 40 คัน พบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 20 คน ที่หนักมีแขนหักเพียงคนเดียว นอกนั้นเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ และทราบว่ากลุ่มพันธมิตรฯได้ดูแลกันเองอีกสิบ กว่าคน ซึ่งศูนย์นเรนทรจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

ทางด้านบนเวทีพันธมิตรฯ แกนนำต่าง ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวที ประกาศขู่ผู้ชุมนุมเป็นระยะ ๆ ว่า ขณะนี้มีการระดมกำลังตำรวจจากภาคต่าง ๆ เข้ามากรุงเทพฯ เพื่อจะสลายการ ชุมนุมภายในคืนนี้ สร้างความฮือฮาและความตื่นตัวให้กับผู้ชุมนุมอยู่ตลอดเวลา นายสำราญ รอดเพชร ได้ขึ้นประกาศว่า ที่หน้า บช.น. ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม จึงต้องขออาสาสมัคร 10,000 คน เพื่อไปปิดล้อม บช.น. พร้อมกับให้เตรียมพริกป่นผสมน้ำ เพื่อจะไปต่อสู้กับตำรวจ

“สมัคร”เครียดเดินหน้าจัดงาน

เมื่อเวลา 18.00 น. ที่กระทรวงกลา โหม นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้ลงมาแถลงข่าวกับสื่อมวลชนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า ตนอยากบอกประชาชนทั้งประเทศว่า บ้านเมืองเราโชคไม่ดี ตนไม่อยากทำอะไรรุนแรงให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน เมื่อเช้าพอตำรวจมาช่วยดำเนินการตามคำสั่งศาลซึ่งตำรวจจะเอาให้จบก็ได้แต่ตนเกรงว่าจะเกิดการปะทะกันและมีเลือดตกยางออกได้ ตนจึงได้สั่งให้ตำรวจถอยออกมาเพราะต้องการรักษาบรรยากาศของบ้านเมืองไว้เนื่องจากในวันที่ 30 ส.ค.นี้ จะมีงานสำคัญ ถวายเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ตนขอบารมีเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมา เพื่อจะทำให้บ้านเมืองสามัคคี ซึ่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงตอบรับที่จะเสด็จฯมาพระราชทานธง ในงาน 116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่อมีการนัดผู้คนไว้ทั่วประเทศแต่ก็ยังจะเอากันให้ได้อีก

สั่งให้ตร.ถอยกลัวไม่ได้จัดงาน

นายสมัคร กล่าวว่า ตอนแรกตำรวจจะเอาให้จบ แต่ตนสั่งให้ถอยออกมาเพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีงานไม่ได้ แต่อีกพวกหนึ่งก็หาว่ารัฐบาลไม่เข้มแข็ง จัดการไม่เรียบร้อยตนก็บอก ว่าได้รับปากกับคนทั้งบ้านเมืองไว้ว่าจะพยายามใช้ความนุ่มนวลไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่ง จึงได้อดกลั้นจนถึงป่านนี้แต่คนอื่นไม่ยอมอดกลั้นด้วย ไปด่าตำรวจ ไปล้อม บช.น. คนขับรถไฟ คนขับรถเมล์ก็ประกาศจะไม่วิ่ง การบินไทยก็เอากับเขาด้วย ไม่รู้สนุกอะไรกันนักหนา ไม่รู้ว่าได้หน้าได้เกียรติยศตรงไหนถึงไปร่วมมือกับเขา ขอให้ช่วยเอาส่วนไหนของร่างกายตรองดูก็ได้ ได้ประโยชน์อะไร ผู้แทนราษฎรและ ส.ว.ก็เล่นกับเขาด้วย พรรคการเมืองก็ไม่อาย ตนอุตส่าห์แถลงชมว่าดี เดี๋ยวเดียวก็ดีแตกแล้ว

“ผมสุดกลั้นแต่ก็ยังกลั้นอยู่”

“ผมไม่อยากทำบรรยากาศบ้านเมืองให้เสียหาย อะไรที่อยู่ในมือผม ผมทำได้ ผมทำให้มันตึงเครียดให้เรียบร้อยได้ หรือจะทำให้ทุกคน ต้องมุดหัวอยู่ในบ้านทั้งหมดก็ทำได้ แต่ผมก็ไม่ทำแม้แต่จะคิดก็ยังไม่คิด แต่เขาก็รุกเอา จนผม สุดจะอดกลั้น แต่ก็ยังอดกลั้นอยู่ อยากถามว่าจุดหมายปลายทางของเขาอยู่ตรงไหน ถ้าจะเอาให้รัฐบาลผมพังแล้วจะให้ใครมาบริหารต่อ” นายสมัคร กล่าว

นายกฯ กล่าวต่อว่า ตำรวจเขามีอาวุธไว้เพราะมีไว้รักษาทำเนียบรัฐบาล แต่ปรากฏปืนของเขาหายไป 8 กระบอกรวมทั้งมีลูกกระสุน หายไปด้วย ถ้ากลุ่มพันธมิตรฯไม่เคยเข้าไปเลยแล้วปืนหายก็อาจว่าตำรวจขโมยไปขายได้ แต่นี่ไปอยู่กันเป็นหมื่นคน สกปรกเหม็นไปหมด ปีนเข้าไปห้องต่าง ๆ ตามใจชอบ เกินขอบเขตของมาตรา 63 แล้ว แต่ตนก็อดกลั้นและไม่ใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือ แต่จะใช้กระบวนการทางศาลเป็นหลัก เวลานี้ศาลให้เรามา 2 ดาบคดีมีอายุความ 10 ปีแต่ตนจะไม่ทนรอนานถึง 10 ปี ตนจะไม่ปล่อยไว้อย่างนั้นเพียงแต่รักษาบรรยากาศ บ้านเมืองไว้และรอให้มีงานในวันที่ 30 ส.ค.

“ผมเป็นคนทนเป็นคนดื้อด้าน ผมไม่ถอยหรอก ถ้าอยากจะอยู่กันตรงนั้นก็อยู่ไป ผมทำได้ แต่อยากบอกว่า หากต้องการให้ผมออกก็ขอให้ใช้กระบวนการทางกฎหมาย ไม่ใช่มาทำแบบนี้ อายคนทั้งบ้านเมืองอายชาวโลกเขา ผมขอร้องประชาชนทั้งประเทศให้ช่วยกันกรองดูว่าคนที่ชื่อสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีที่อยู่มา 7 เดือนมันเลวทรามต่ำช้าตรงไหน โกงหรือทุจริตตรงไหน กล่าวหากันแบบไม่มีเหตุผล บ้าน เมืองกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนไปแล้ว”

ยกมือไหว้สื่ออ้อนเสนอข่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าแล้วจะปล่อยให้สถานการณ์ทรุดลงไปเรื่อย ๆ อย่างนี้หรือ นายสมัคร กล่าวว่า “ตนไม่ปล่อยถึงจุดหนึ่งตนต้องจัดการ ขอให้ประชาชนรอหน่อย ตนอยากให้งานวันพรุ่งนี้สำเร็จ ผมไม่อยากให้งานของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินต้องเลิกไปเพราะผมจะประกาศภาวะฉุกเฉินบ้านเมืองจะเสียหายหมดถ้าผมลากไปถึงพรุ่งนี้ได้ผมทำได้สำเร็จ เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเสด็จฯมาพระราชทานธง ผมก็คิดว่าบ้านเมืองจะกลับมาได้อีก จากนั้นใครจะอาละวาดฟาดฟันก็เอา แต่ผมจะขีดวงให้อยู่ตรงนั้น ผมก็จะทำงานตรงนี้”

เมื่อถามว่าหลังวันที่ 30 ส.ค. ไปแล้ว จะทำอย่างไร นายสมัคร กล่าวว่า “ตนต้องตัดสินใจดำเนินการและตนก็รักบ้านเมืองนี้จึงต้องรักษาไว้ขอให้ประชาชนอดทน ถ้าอดทนอยู่กับรัฐบาลนี้ไม่มีอะไรเสียหาย ถ้ามันเหลือบ่ากว่านี้ตนต้องจัดการแต่รอดูว่าความรักความผูกพันระหว่างเรากับสถาบันพระมหากษัตริย์จะเป็นอย่างไร”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังให้สัมภาษณ์เสร็จสิ้น นายสมัครได้กล่าวว่า “ขอให้สื่อมวลชนช่วยเอาข่าวนี้ไปบอกให้ประชาชนทั้งประเทศรู้” จากนั้นนายสมัครก็ยกมือไหว้พร้อมกับเดินขึ้นไปทำงานที่กระทรวงกลาโหมต่อ

พูดเป็นนัยพรุ่งนี้เปลี่ยนแปลง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่ นายสมัคร จะยกมือไหว้ได้กล่าวว่า “ผมจะรักษาบรรยากาศของบ้านเมืองให้จนถึงพรุ่งนี้ (30 ส.ค.) ผมจะเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขอให้บ้านเมืองเราได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงเถอะ” ผู้สื่อข่าวถามว่า ฝ่ายความมั่นคงได้เสนอแนวทางอะไรหรือไม่ นายสมัคร กล่าวว่า “เสนอแต่ตนจะเก็บไว้ในมือ เพราะข้อเสนอหนึ่ง ในนั้นทำให้ตนต้องยกเลิกงานวันพรุ่งนี้”

แจ้งเปลี่ยนสถานที่จัดงาน

สำหรับพิธีพระราชทานธงสัญลักษณ์โครงการ “จากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี” ปรากฏว่าท่านผู้หญิงวิลาวัณย์ วีรานุวัตติ์ ประธานกรรมการมูลนิธิโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติผ่านดาวเทียม ได้ส่งเอกสารเลขที่ RTT.115/ 2551 ลงวันที่ 29 ส.ค. 2551 ถึงสื่อมวลชน เรื่อง การเปลี่ยนแปลงสถานที่จัดพิธีพระราชทานธงสัญลักษณ์ฯโดยมีเนื้อความสรุปได้ว่า ตามที่มูลนิธิฯได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ เสด็จฯพระราชทานธงสัญลักษณ์ฯ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันทำให้สถานที่เดิมไม่สะดวกต่อการจัดงาน ทางมูลนิธิฯจึงใคร่ขอเปลี่ยนแปลงสถานที่จัดพิธีฯเป็นอาคารใหม่สวนอัมพร

ทั้งนี้ ตามหมายกำหนดการในเวลา 14.50 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ จะเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากวังศุโขทัย ไปยังอาคารใหม่สวนอัมพร มีนายสมัคร, ท่านผู้หญิงวิลาวัณย์, พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯและรมว.มหาดไทย, พล.ต.อ.ยงยุทธ เทพจำนง รองประธานมูลนิธิโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติฯ,นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกฯรับเสด็จ ทั้งนี้ จะมีการกราบบังคมทูลเบิกผู้เข้ารับพระราชทานธงสัญลักษณ์โครงการฯจำนวน 105 ราย จากนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิม พระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ และโครงการ “จากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วันสร้างสามัคคี” จากนั้นเสด็จฯประทับรถยนต์พระที่นั่งกลับวังศุโขทัยเป็นลำดับต่อไป

พปช.ส่งสัญญาณชนม็อบ

รายงานข่าวแจ้งว่า ทางแกนนำพรรคพลังประชาชนได้มีความเคลื่อนไหวในการเตรียม จัดชุมนุมเพื่อแสดงพลังว่ายังมีกลุ่มคนจำนวนมาก ที่ยังสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล โดยมีการเตรียมการนำคนจากต่างจังหวัดเข้ามาในกรุงเทพฯ แล้วจะใช้พื้นที่สนามหลวงเป็นเวทีเพื่อชุมนุมแสดงพลัง โดยจะดำเนินกิจกรรมดังกล่าวหลังพิธีเข้ารับพระราชทานธงสัญลักษณ์โครงการจากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วันสร้างสามัคคี เป็นต้นไป โดยคาดว่าจะเดินทางมากันมากในช่วงวันอาทิตย์ที่ 31 ส.ค. ซึ่งทางแกนนำไม่หวั่นปัญหาเรื่องความรุนแรง เพราะจะมีการดูแลอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ทางพรรคยังมีการตั้งวอร์รูมเพื่อติดตามการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯที่โรงแรมแห่งหนึ่งกลางใจกรุงอีกด้วย

นายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม พรรคพลังประชาชน กลุ่มเพื่อนเนวิน กล่าวว่า ขณะนี้ทุกคนเหนื่อยใจ ส.ส. ลงพื้นที่ไม่ได้ ชาวบ้านรู้สึกอึดอัดที่ไม่ยอมรับทุกอำนาจในประเทศแม้แต่อำนาจศาล ดังนั้น หากประชาชนที่ศรัทธารัฐบาล อยากจะมาแสดงออกรวมตัวแสดงพลังเพื่อให้เห็นว่าสนับสนุนรัฐบาล แต่ ส.ส. ได้ทัดทานเอาไว้ แต่ถ้าวันที่ 30 ส.ค. จะมีชาวบ้านมาชุมนุมเราก็ห้ามไม่ได้ และถ้าเอาจริงคนที่สนับสนุนรัฐบาลจะมีมากกว่าพันธมิตรฯ ยืนยันว่ากลุ่มเพื่อนเนวินไม่ได้อยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม ถ้าทุกระบบเป็นอัมพาตกฎหมายหมดสภาพบังคับใช้ ตนเชื่อว่าเมื่อประชาชนพึ่งใครไม่ได้ก็ต้องพึ่งตัวเอง

ศาลยกคำร้องถอนหมายจับ

ต่อมาเวลา 19.15 น. ศาลอาญา ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งโดยพิเคราะห์ กรณีที่ นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ ได้มายื่นคำร้องขอเพิกถอนหมายจับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กับพวกรวม 9 คน ฐานเป็นกบฏ และอื่น ๆ รวม 4 ข้อหา ไปเมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา แล้วเห็นว่าการออกหมายจับเป็นขั้นตอนแรกเพื่อให้ได้ตัวบุคคลมาสอบสวน เป็นเรื่องระหว่างศาลกับพนักงานสอบสวนผู้ร้อง เมื่อพิจารณาคำร้องออกหมายจับและพยานหลักฐานของผู้ร้อง ประกอบการไต่สวนแล้วปรากฏในเบื้องต้นว่า มีเหตุที่จะออกหมายจับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 61 (1) จึงได้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 9 ตามคำร้องขอ เพื่อให้ผู้ร้องดำเนินการสอบสวนต่อไป

ส่วนเรื่องที่ผู้ต้องหาแต่ละคนจะมีความผิดดังว่าหรือไม่ประการใดเป็นเรื่องที่จะ ต้องผ่านขั้นตอนการสอบสวน การสั่งฟ้อง และการพิจารณาของศาล ซึ่งทุกฝ่ายมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ข้ออ้างได้อย่างเต็มที่ ประกอบกับเมื่อพิจารณาคำร้องขอเพิกถอนหมายจับของผู้ต้องหาก็ล้วนเป็นข้ออ้างตามความคิดเห็นของตน ซึ่งจะต้องว่ากล่าวกันในชั้นพิจารณา ทั้งยังปรากฏในคำร้องของผู้ต้องหาบางตอนด้วยว่า ผู้ต้องหากับผู้ชุมนุมโดยมีอาวุธกระทำการโดยมีเจตนาไม่ยินยอมให้รัฐบาลบริหารประเทศชาติ และเข้าทำงานในสถานที่ราชการ มีการประกาศมาตรการเพื่อให้ประชาชนไม่เสียภาษี ไม่ชำระหนี้ค่าไฟฟ้า ค่าประปา บุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล และเข้าไปปิดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ของรัฐ เพื่อไม่ให้ออกอากาศ และไม่ปรากฏว่าขนาดนี้ผู้ต้องหากับพวกออกไปจากทำเนียบแล้ว อันเป็นการเจือสมกับคำร้องขอออกหมายจับของพนักงานสอบสวนผู้ร้อง

ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ กล่าวว่า วันที่ 1 ก.ย.นี้ช่วงเช้า ตนจะมายื่นคำร้องอุทธรณ์ คัดค้านคำสั่งของศาลอาญา เพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาเพิกถอนคำสั่งของศาลอาญาต่อไป

ถูกแก๊สน้ำตาส่งวชิระ 19 คน

ต่อมา นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ผอ.ศูนย์นเรนทร เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ที่หน้า บช.น.มีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกสะเก็ดระเบิดจากระเบิดลูกปิงปอง 2-3 รายถูกนำส่ง รพ.รามาฯ ถูกแก๊สน้ำตา 30 ราย และถูกกระสุนยาง 1 คน ถูกส่งไปที่ รพ.วชิระฯ

ด้าน นายวันชัย เจริญโชคทวี ผอ. วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ กทม.และวชิรพยาบาล เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุกระทบกระทั่งระหว่างตำรวจกับพันธมิตรฯ มีผู้ถูกส่งตัวมาที่วชิระ 31 คน แยกเป็นช่วงเช้าถึง 16.00 น. 12 คน เย็บแผลหัวแตก 3 คน ที่เหลือฟกช้ำแขนขาบวม เดินทางมาเอง 2 คน อีก 10 คนมากับรถฉุกเฉิน ส่วนเวลา 19.00 น. กลุ่มพันธมิตรฯ บุกล้อม บช.น.มีผู้บาดเจ็บเกิดจากการระคายเคืองตา นำมาส่ง 19 คน เป็นชาย 10 หญิง 8 เด็ก 1 คน ทั้งหมดกลับบ้านได้แล้ว

ให้เวลา “สมัคร” แค่วันอาทิตย์

ต่อมาเวลา 20.15 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ แถลงข่าวว่า จะให้เวลานายสมัคร สุนทรเวช จนถึงวันอาทิตย์นี้เท่านั้นต้องลาออกไป หากยังดื้ออยู่พันธมิตรฯก็จะชุมนุมต่อไป และเพิ่มมาตร การเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ หนทางเดียวคือจะต้องแสดงสปิริต หากยังดื้ออยู่บ้านเมืองจะบอบช้ำมากขึ้น เพื่อใช้วิธีอารยะขัดขืนให้เข้มข้นขึ้น อีก ซึ่งเวลานี้มีสหภาพฯเข้ามาร่วมมากขึ้นอีก ได้ทราบว่าสถานีเอ็นบีทีได้สั่งให้วิทยุความถี่ 97 และ 105 ให้รับสัญญาณจากเอ็นบีทีเท่านั้น เมื่อเป็นอย่างนี้จะไปเอ็นบีทีหรือไม่ ตรงนี้คงต้องไป และขณะนี้เรากำลังรวบรวมหลักฐาน เพื่อยื่นฟ้องต่อ ป.ป.ช. เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทำบัตรประจำตัวตกไว้หลายคน มีคราบเลือดอยู่ด้วย ในขณะที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯยังสามารถควบคุมอารมณ์ของผู้ชุมนุมอยู่.

Update By : Patcharin Udomwong 5131601138

3 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ผมได้ติดตามทางทีวีช่องหนึ่ง จากการที่เราได้ดูมันทำเห็นถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศของเราอย่างเด่นชัด แล้วเมื่อไรความวุ่นวายพวกนี้ถึงจะจบลงเสียที ต่างคนก็ต่างเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ มันก็ไม่จบซะที ทำไมถึงไม่ลองหันหน้าคุยกันดีๆก่อนล่ะ ถึงบางคนอาจจะคิดว่ามันอาจเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่พวกคุณได้ลองที่จะทำมันหรือยัง !!! สิ่งที่ไม่มีการทดลอง เราก็จะไม่รู้ว่าผลที่จะตามมานั้น คืออะไร...

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

อืม เราก็ว่าความคิดของคนก่อนหน้าเรานี่ก็ดีนะ แต่ถ้าหันหน้าเข้าหากันแล้ว มีแต่การปะทะกันแบบนี้ล่ะ ประชาชนคนอื่นๆที่อยู่ที่นั่นก็จะได้รับความเดือดร้อนไปด้วย โดยที่พวกเขาก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ความเสียหายที่จะเกิดตามมาก็จะหนักกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แล้วประเทศเราก็จะไม่มีความสงบเลย !!!

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ผมรู้นะครับว่า การชุมนุมประท้วง สามารถทำได้ แต่มันต้องทำโดยที่ผู้อื่นไม่เดือดร้อนไม่ใช่หรือครับ พวกคุณต้องรอคำสั่งของศาลใช่มั้ยครับถึงจากเจอเส้นทางการจราจรให้ประชาชนคนอื่นได้ใช้กัน ช่วยชุมนุมแบบสันติได้มั้ยครับ