วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สมัคร-พันธมิตร เดิมพันด้วยเลือดผู้บริสุทธิ์

ฉากใหม่ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยในรอบ 76 ปี คงหนีไม่พ้นการบุกยึดทำเนียบรัฐบาลจนรัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช" ต้องหนีหัวซุกหัวซุนตกอยู่มีสภาพมีอำนาจแต่บริหารไม่ได้ แม้ปากผู้นำประเทศจะบอกว่าปฏิบัติการ "ไทยคู่ฟ้า" ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะไม่ส่งผลต่อการบริหารประเทศ เพราะสามารถหาทางออกด้วยการย้ายที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปประจำการที่กองบัญชาการกองทัพไทยได้ ทว่าทางออกนี้คงไม่เกิดขึ้นกับคนชื่อ "สมัคร" บ่อยนัก แต่เมื่ออยู่ในภาวะจำยอมผู้เฒ่าที่คร่ำหวอดการเมืองผู้นี้จำเป็นต้องถอยร่นเพื่อหาทางสู้ เพราะเวลานี้ฝูงชนบุกยึดทุกตารางนิ้วของทำเนียบรัฐบาลจนฝ่ายปฏิบัติไม่สามารถเข้า-ออกได้ ยิ่งเมื่อได้ฟังการประกาศของ "แม่ทัพใหญ่" อย่าง "สนธิ ลิ้มทองกุล" เมื่อบ่ายวันที่ 26 ส.ค. บริเวณทางขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าที่ว่า "วันนี้ถือเป็นวันแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ประชาชนชาวบ้านธรรมดาเข้ามาเหยียบตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งเราจะไม่ออกจากทำเนียบจนกว่าจะได้รับชัยชนะ" ก็ยิ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ยอมจบ สิ่งเดียวที่จะจบ คือ การได้รับชัยชนะ หากพิจารณาชัยชนะที่พันธมิตรวางไว้ 3 ข้อ คือ รัฐบาลต้องไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 นั้น ดูท่าจะเป็นไปได้ เพราะเวลานี้คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการบังคับใช้เพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มีกระบวนการ "เตะตัดขา" ไม่ยอมคลอดผลการศึกษาเสียที ซึ่งคาดว่าสมัยประชุมนิติบัญญัตินี้คงไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ประเด็นนี้น่าจะมีเสียงตอบรับจาก "สมัคร" เว้นแต่ "นายใหญ่สั่งมา"
สำหรับข้อเสนอที่ 2 และ 3 ที่ว่า "รัฐบาลต้องลาออกและสร้างการเมืองใหม่อย่างไม่เห็นแก่ตัว" นั้น ดูท่าจะเป็นไปได้ยาก ถ้าหากพิจารณาจากประวัติทางการเมืองของ "สมัคร"ยามนี้ประเด็นการ "ลาออก" หรือ "ยุบสภา" จึงแทบจะไร้เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จ เพราะหลังจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี หอบหิ้วครอบครัวพ้นน่านฟ้าเมืองไทยไปอยู่ลอนดอน โอกาสทองของ "นายกฯ ต้นทุนต่ำ" ก็เปิดออกและโอกาสแบบนี้คงมาไม่บ่อยนัก
จึงไม่แปลกที่ "สมัคร" จะหาวิธีการเพื่อให้ได้อยู่ในอำนาจมากที่สุด ยุทธการขุดบ่อปลาล่อให้พันธมิตรตกหลุมพราง แล้วเปิดเกมบุกทำเนียบรัฐบาล จึงสามารถทำลายภาพลักษณ์ของพันธมิตรได้อย่างจัง เพราะภาพพันธมิตรวันนี้ "ติดลบจนยากจะกู้คืน" โดยเฉพาะภาพของชายฉกรรจ์ใช้ผ้าปิดหน้าจำนวนมากบุกเข้าไปที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ทำลายข้าวของ บังคับขู่เข็ญ แถมพกอาวุธและยาเสพติดเข้าไป ที่ถูกแพร่ภาพฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าทางสถานีโทรทัศน์แทบทุกช่อง
เพราะภาพพฤติกรรมที่ออกมายากนักที่คนที่นั่งอยู่หน้าจอทีวีทั่วประทศจะยอมรับได้ ภาพเหล่านี้ยิ่งสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในการดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทุกฝ่ายทั้งฝ่ายหนุนและต้านรัฐบาลพูดออกมาตลอดว่าทุกฝ่ายต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย รัฐบาลจึงการเปิดเกมด้วยการโร่พึ่ง "ศาลอาญา" เพื่อขออนุมัติหมายจับแกนนำพันธมิตรทั้ง 9 คน ได้แก่ สนธิ ลิ้มทองกุล,พล.ต.จำลอง ศรีเมือง,สมศักดิ์ โกศัยสุข,สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์,พิภพ ธงไชย,สุริยะใส กตะศิลา,ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์,อมร อมรรัตนานนท์ และเทิดภูมิ ใจดี โดยอ้างเหตุ "มีการมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยมีผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้าเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ ซึ่งเป็นข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 และมาตรา 126" จึงมีความชอบธรรมพอสมควร ทว่าก็เป็นเรื่องน่าแปลกใจเมื่อแกนนำทั้ง 9 คน ยอมเปิดทางให้จับโดยดุษฎี แต่กลับมีถ้อยคำแข็งกร้าวออกจากปาก "พล.ต.จำลอง" บอกว่า "เราจะไม่ยอมถอย หากถูกจับกุม แกนนำรุ่นต่อไปก็จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะยอมเปิดทางให้มีการเปิดงานโครงการจากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วันสร้างสามัคคีหรือไม่ เพราะเราไม่อยากโดนหลอกอีกแล้ว" ท่าทีการไม่ยอมศิโรราบของแกนนำพันธมิตร คราวนี้จึงน่าจับตาว่า "เป็นแผนฮาราคีรี" เพื่อจุดชนวนการจลาจลขึ้นกลางเมืองขึ้นหรือไม่ เพราะการไม่ออกจากทำเนียบตามหมายจับ และยังใช้โล่มนุษย์เป็นกำแพงป้องกันตำรวจบุกเข้ามาจับตัวเท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟเข้าไป เพราะเมื่อใดที่ตำรวจบุกเข้าไป โอกาสการเผชิญถึงเลือดตกยางออกก็มีความเป็นไปได้สูงและภาพที่ตำรวจใช้กำลังเข้าสลายม็อบหรือบุกจับแกนนำก็จะถูกเผยแพร่ออกตามสื่อต่างๆ จะกลายเป็นเชื้อไฟอย่างดีในการปลุกกระแสความเกลียดชังรัฐบาลให้ขยายขึ้นไปอีก ซึ่งรัฐบาลก็รู้ดีถึงสถานการณ์เช่นนั้นและไม่อยากให้เกิดขึ้นแน่นอนเพราะรู้ดีว่าเงื่อนไขนี้เท่ากับเป็นการปลุกเร้าให้กองทัพต้องออกมาทำอะไรสักอย่างนี้คือเกมต่อรองของสองฝ่ายที่มีเลือดประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นเดิมพัน...


โพสต์โดย: นางสาวชาลินี เอี่ยมโอน ID: 5131601043

ไม่มีความคิดเห็น: