วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ฟ้องยึดทรัพย์ "แม้ว"

ฟ้องยึดทรัพย์ “แม้ว” 7.6 หมื่นล้านตกเป็นของแผ่นดินแล้ว “อัยการ” ใช้รถ 6 ล้อขนเอกสารกว่า 2 แสนแผ่น พร้อมความฟ้อง 125 หน้ายื่นต่อศาลฎีกาฯ บรรยายคำฟ้องแจกแจงพฤติกรรม “แม้ว” ปกปิดหุ้นชินคอร์ป ใช้ชื่อ “โอ๊ค-เอม-ยิ่งลักษณ์-บรรณพจน์” อำพรางแทน แถมใช้ตำแหน่งนายกฯ แก้กฎหมายเอื้อประโยชน์จนราคาหุ้นพุ่ง รอศาลเลือกองค์คณะก่อนลุ้นพิจารณารับฟ้องหรือไม่ ส่วน “แบ็งก์ใบโพธิ์” เมินคำสั่งสรรพากรให้ถอนอายัดเงิน “โอ๊ค-เอม” 1.2 หมื่นล้าน ชี้ต้องรอ “ศาลปค.-ป.ป.ช.-อัยการ” สั่งไฟเขียว “อานันท์” ฉะไม่รู้ใครคือ “สรรพากร” ตัวจริงเสียงจริงกันแน่ ขณะที่ “เฉลิม” โผล่พร้อมเป็นพยานให้ “หมัก” คดีช่วยลูกดวง “ทักษิณ” ลั่นไม่คิดขายทีมแมนฯ ซิตี้ ฝ่าย “หมัก-เตีย บันห์” ชื่นมื่น เห็นพ้องหาคนกลางพัฒนา “ปราสาทพระวิหาร” เป็นแหล่งท่องเที่ยวไร้พรมแดน ขณะที่ “บิ๊กโก” ดัน “ดร.ป๋อง” นั่งเก้าอี้ปลัด มท. เข้า ครม. วันนี้ ส่วนโผทหารยังไม่ลงตัว “ตท.10” รุกคืบ ผบ.เหล่าทัพ ด้าน “จรัญ” ชี้ ม.237 มีไว้ปราบแก๊งโจรซื้อเสียง

ฟ้องยึดทรัพย์แม้ว7.6หมื่นล้าน

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ นำรถบรรทุก 6 ล้อ ขนสำนวนเอกสารหลักฐานจำนวน 180 ลัง กว่า 600 แฟ้ม จำนวน 240,000 แผ่น พร้อมคำร้องจำนวน 125 หน้า ที่นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ และได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 76,621,603,061.05 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน

คำร้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 2551 คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีหนังสือแจ้งว่า คตส. มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ในระหว่างดำรงตำแหน่งนายกฯ เดือน ก.พ. 2544 -มี.ค. 2548 ได้ปกปิดการถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,149,490,150 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 48 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด

คำฟ้องบรรยาย“นอมินี”ถือหุ้น

โดยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง แต่ใช้ชื่อนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ถือหุ้นแทน จำนวน 458,550,000 หุ้น น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว ถือหุ้นแทน จำนวน 604,600,000 หุ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว ถือหุ้นแทน จำนวน 20 ล้านหุ้น และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน ถือหุ้นแทน จำนวน 336,340,150 หุ้น โดยที่บริษัทชินคอร์ป เป็นบริษัทได้รับสัมปทานกิจการโทรคมนาคมจากรัฐ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540, พ.ร.บ. การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 32, 33 และ 100 ซึ่งมีความผิดอาญา มาตรา 119 และ 122

ออกก.ม.เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป

ในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่ง นายกฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ สั่งการ มอบนโยบาย ที่เป็นการเอื้อ ประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ป และบริษัทในเครือเป็นจำนวนมาก คือ 1.แปลงค่าสัมปทานเป็นค่า ภาษีสรรพสามิต 2.การแก้ไขสัญญาปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าให้บริษัท เอไอเอส 3.การแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (โรมมิ่ง) และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวมเป็นเหตุให้หุ้นมีมูลค่าสูงขึ้น 4.กรณี ละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ 5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ ที่ผู้ถูกกล่าวหาและครอบครัวชินวัตรกับพวกมีผลประโยชน์ถือหุ้นอยู่

ขายหุ้นบิ๊กลอตหลังแก้ก.ม.มีผล

นอกจากนี้ในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นนายกฯ ได้เสนอแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2549 เป็นผลให้บริษัทชินคอร์ป มีบุคคลต่างด้าวถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 50 โดย พ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลบังคับ ใช้เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2549 และปรากฏว่าวันที่ 23 ม.ค. 2549 ก็ได้มีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป จำนวน 1,149,490,150 หุ้น ให้กับกลุ่มเทมาเส็กของประเทศสิงคโปร์ โดยมีบริษัท ซีดาร์โฮล ดิ้งส์ จำกัด และบริษัท แอสแพนโฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างด้าวเป็นผู้ซื้อ เป็นจำนวนเงินสุทธิ 69,722,880,932.05 บาท

ตั้งแต่ปี 2546-2548 บริษัทชินคอร์ป ได้จ่ายเงินปันผลตามหุ้นจำนวนดังกล่าวรวมเป็นเงินจำนวนทั้งหมด 6,898,722,129 บาท รวม เป็นเงินที่ได้รับจากหุ้นดังกล่าวทั้งหมดจำนวน 76,621,603,061.05 บาท เงินจำนวนดังกล่าว จึงเป็นทรัพย์สินที่ได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม และเป็นกรณีที่ได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่อันเป็นการร่ำรวยผิดปกติ จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเพื่อยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาฯ ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินจำนวน 76,621,603,061.05 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 มาตรา 80

อ้าง“แก้วสรร-สัก”เป็นพยาน

ในชั้นไต่สวน คตส. อาศัยอำนาจตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 เรื่องการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ 30 กันยายน 2549 ข้อ 5 และ ข้อ 8 มีคำสั่งอายัดเงินและทรัพย์สินที่ได้มาจากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก และ เงินปันผลตามจำนวนหุ้นที่ได้รับในช่วงปี พ.ศ. 2546-2548 รวม 15 คำสั่ง รวมเป็นเงิน 73,667,987,902.60 บาท พร้อมดอกผล ซึ่งได้รับแจ้งยืนยันสามารถอายัดเงินและทรัพย์สินไว้ได้บางส่วน โดยคดีนี้ผู้ร้องมีนายแก้วสรร อติโพธิ, นายสัก กอแสงเรือง และบุคคลอื่นเป็นพยาน ในการไต่สวนพบหลักฐานการปกปิดอำพราง การถือหุ้นในบริษัทชินคอร์ป กับพวก และมี พยานเอกสารซึ่ง คตส. ได้รวบรวมไว้ในชั้นไต่สวน โดยขอให้ศาลมีคำสั่งยึดอายัดเงินและทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาพร้อมดอกผลไว้ต่อไปจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด

รอศาลประทับรับฟ้องหรือไม่

ท้ายคำร้อง อสส. ขอให้ศาลออกหมาย เรียก พ.ต.ท.ทักษิณ มาพิจารณาพิพากษายึดทรัพย์สิน เป็นเงินที่ได้มาจากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ป ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก และเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 76,621,603,061.05 บาท พร้อมดอกผลให้ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากร่ำรวยผิดปกติและมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปกติ ศาลรับคำร้องไว้พิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป

นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ขั้นตอนต่อจาก นี้ศาลจะตั้งองค์คณะทำงานพิจารณาคดี ส่วนจะประทับรับฟ้องหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล และถ้าศาลเห็นด้วยเงินและทรัพย์สินตามคำร้องจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะถูกยึดทรัพย์จะตกเป็นของแผ่นดิน อย่างไรก็ตามผู้ถูกกล่าวหา มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องคัดค้านได้ ส่วนกรณีกรมสรรพากรทำหนังสือถึงธนาคารไทยพาณิชย์เพื่อขอให้ถอนอายัดเงิน 1.2 หมื่นล้านบาทของบุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นจะรวมอยู่ใน 7.6 หมื่นล้านบาทนี้หรือไม่นั้น ขณะนี้ตนยังไม่ทราบ เพราะยังไม่มีการติดต่อเข้ามาที่อัยการ

สรรพากรโต้ไม่ได้ช่วย“แม้ว”

ส่วนกรณี กรมสรรพากรทำหนังสือถึงธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ถอนอายัดทรัพย์นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จำนวน 1.2 หมื่น ล้านบาท ที่อยู่ภายใต้คำสั่งของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และนำส่งเงินให้กรมสรรพากรเพื่อนำไปจ่ายภาษีอากรค้างชำระ พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มนั้น

วันเดียวกัน ที่กรมสรรพากร นายสาธิต รังคสิริ โฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า กรมสรรพากร จะรอคำตอบจาก ธ.ไทยพาณิชย์ มาก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร หากไม่นำส่งให้และไม่แจ้งถึงเหตุผลที่ชัดเจนจะฟ้องร้องตามขั้นต่อตอนไป ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามอำนาจและหน้าที่ตามปกติของกรมฯ ภายใต้กฎหมายตามประมวลรัษฎากร ที่ต้องเรียกร้องให้นำส่งภาษีอากรค้างสำหรับผู้เสียภาษีที่มีภาษีค้างทุกราย พร้อมเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และกรมฯ จะนำเงินส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดินทันที ไม่ใช่นำเงินคืนให้กับผู้เสียภาษีแต่อย่างใด

แฉหุ้นราคาตก-ขอเงินสดแทน

“กรมฯ ได้แจ้งธนาคาร ให้นำส่งหนี้ภาษีอากรค้างไปแล้ว ครั้งแรกวันที่ 30 ก.ค. และครั้งที่สองวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา เนื่องจากวงเงินได้เปลี่ยนไป มีดอกเบี้ยที่เดินอยู่เดือนละ 1.5% นับตั้งแต่วันที่เริ่มเป็นหนี้ภาษี หากไม่ส่งกลับมาดอกเบี้ยก็จะเดินอยู่ต่อไป ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะจะทำให้ผู้เสียภาษีได้รับความเสียหาย หากกรมฯ ไม่ดำเนินการ จะถือได้ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งกรมฯ มองว่าเมื่อ คตส. พ้นวาระไปแล้วแต่ทรัพย์ดังกล่าวยังลอยอยู่ จึง จำเป็นต้องให้ธนาคารนำส่งเงินภาษีอากรค้างชำระให้กรมฯ ต่อไป” โฆษกกรมสรรพากร ระบุ

ข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้กรมฯ ได้อายัดที่ดินและหุ้นของนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา ที่มีมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท เอาไว้แล้ว แต่กรมฯ เกรงว่ามูลค่าทรัพย์สินที่อายัดไว้อาจจะด้อยค่าจึงต้องการเงินสดมาชำระภาษี และจะถอนอายัดในส่วนเดิมออกไป แต่เนื่องจากเป็นเงินก้อนเดียวกับที่ คตส. สั่งอายัดเอาไว้ จึงต้องแจ้งให้ ธ.ไทยพาณิชย์ ถอนอายัดและนำส่งเงินดังกล่าวให้กับกรมฯ แทน

“ใบโพธิ์”รอ3หน่วยงานชี้ขาด

ขณะที่นายอานันท์ ปันยารชุน นายกกรรมการ ธ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมวาระพิเศษว่า ธนาคารพร้อมปฏิบัติตามคำสั่ง หากแต่บัญชีเงินฝากของบุคคลดังกล่าวทั้งสองรายอยู่ภายใต้คำสั่งอายัดทรัพย์ของ คตส. เช่นกัน ซึ่งคำสั่งทั้งสองมีความขัดแย้งก่อให้เกิดความสับสนและความไม่ชัดเจนในการปฏิบัติสำหรับธนาคาร หากธนาคารปฏิบัติตามคำสั่งใดคำสั่งหนึ่งก็จะเป็นการฝ่าฝืนอีกคำสั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นความผิดมีโทษทางอาญาได้ ดังนั้นธนาคาร จึงได้ทำคำร้องไปยังศาลปกครองและทำหนังสือ ถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อขอความกระจ่างในการปฏิบัติ ในขณะนี้ธนาคารยังรอคำวินิจฉัยของศาลปกครอง และคำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ เนื่องจากธนาคารพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งที่ถูกต้องและไม่ทำให้ธนาคารต้องเดือดร้อนและยืนยัน ว่าธนาคารไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่อง ดังกล่าว

“อานันท์”ฉะมีไอ้โม่งสั่งการ

“ธนาคารไม่รู้ว่าสรรพากรตัวจริงคือใคร เพราะที่ผ่านมาสรรพากรเป็นคนบอกให้ธนาคารเก็บเงินก้อนนี้ไว้ต่อไป แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาก็บอกให้ส่งเงินไปให้ แต่เงินดังกล่าวติดอายัด ธนาคารจึงต้องเก็บเงินดังกล่าวไว้ต่อ แต่ในขณะนี้มีคำสั่งจากหลายหน่วยงานทำให้เกิดความสับสน และธนาคารก็ไม่มีหน้าที่ที่จะมาบอกว่าหน่วยงานไหนใหญ่กว่าหน่วยงานไหน เราต้อง การได้ความชัดเจนว่าที่ถูกต้องเราควรยึดใครเป็นหลัก เพราะทั้งสองหน่วยงานถือเป็นหน่วยงานรัฐ ซึ่งเราก็พร้อมจ่ายเงินทุกเมื่อ หากรู้ว่าหน่วยงานไหนมีอำนาจมากกว่ากัน” นายกกรรมการ ธ.ไทยพาณิชย์ ระบุ

นายอานันท์ เปิดเผยด้วยว่า ที่ผ่านมาธนาคารได้มีการคุยกับทางกรมสรรพากรถึงเรื่องเงินดังกล่าวมาโดยตลอด เนื่องจากบอร์ดของธนาคารมี 2 คนที่เป็นตัวแทนของกรมสรรพากรและกระทรวงการคลังเข้ามานั่งเป็นกรรมการธนาคาร ส่วนเรื่องดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อธนาคารหรือไม่นั้นขณะนี้ยังไม่มีผลกระทบอะไรต่อธนาคาร

“ธนาคารไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในงานนี้ ส่วนตระกูลชินวัตรก็ไม่ได้ติดต่อธนาคารโดยตรง”

“เหลิม”อาสาเป็นพยาน“หมัก”

ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่น ที่อาคารโต้งหนุ่มชาย ที่ทำการพรรคทางเลือกใหม่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีต รมว.มหาด ไทย แถลงกรณี ป.ป.ช. ตั้งอนุกรรมการไต่สวนนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และ รมว.กลา โหม เรื่องการแต่งตั้ง ร.ต.ดวง อยู่บำรุง กลับเข้ารับราชการว่า กระบวนการสอบสวนกรณีหนีราชการของว่าที่ ร.ต.ดวง ยุติเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2546 ซึ่งหัวหน้าอัยการศาลทหารกรุงเทพฯ มีคำสั่งไม่ฟ้อง แต่ที่ไม่ยื่นขอกลับรับราชการก่อนหน้านี้ เพราะกระแสสังคมมันแรงและหยามเหยียดลูกชายตน อย่างไรก็ตามสมัย พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร เป็น รมว.กลาโหม ก็เคยยื่นเรื่องไปครั้งหนึ่ง แต่ พล.อ.ธรรมรักษ์ มีข้อสงสัย ต่อมาเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล จึงไปยื่นเรื่องต่อสำนักเลขาธิการกระทรวงกลาโหม เพราะเห็นว่านายสมัครเป็นคนตรงไปตรงมา

“ผมพร้อมชี้แจง ป.ป.ช. และเป็นพยานให้นายสมัคร เพราะไม่เคยขอร้องเป็นการส่วนตัวหรือวิ่งเต้นหรือให้สินบนใครแม้แต่บาทเดียว แต่เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ลูกชายผมควรได้คืนในสิ่งที่กระทรวงกลาโหมแล้งน้ำใจ อย่ามองดวงเป็นลูกผมให้มองในฐานะเขาเป็นคนไทยคนหนึ่ง” อดีต รมว.มหาดไทย กล่าว

“เตช”หนักใจยึดพาสปอร์ตแดง

ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายเตช บุนนาค รมว.การต่างประเทศ กล่าวถึงการเพิกถอนหนังสือเดินทางการทูตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เช้าวันที่ 26 ส.ค. จะหาโอกาสชี้แจงรายละเอียดกับนายกฯ อย่างไรก็ตามกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นกรณีที่ไม่ปกติและเป็นกรณีพิเศษ ตนจึงอยากให้หัวหน้ารัฐบาลเป็นผู้พิจารณา ไม่ใช่กระทรวงการต่างประเทศหรือตนพิจารณาแต่ลำพัง

“ผมถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง เรื่องรัฐบาล และเรื่องของชาติ ส่วนกระทรวงการต่างประเทศหรือผมจะตัดสินใจโดยลำพังคงไม่เหมาะสม” รมว.การต่างประเทศ ระบุและว่า รู้สึกหนักใจตลอด เพราะเป็นความรับผิดชอบอย่างสูง เนื่องจากไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ได้รับผลกระทบจากสังคมอย่างแน่นอน ต่อข้อถามว่า ประเทศเบอร์มิวดายินดีรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เข้าไปพำนักในประเทศ รมว.การต่างประเทศ กล่าวว่า ยังไม่ทราบข้อมูลเพราะ 3 วันที่ผ่านมาไปราชการที่สหภาพพม่า

มติวิปรัฐรับร่างก.ม.องค์กรอิสระ

นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคพลังประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์กรณี ส.ส.พรรคพลังประชาชนไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายที่เสนอโดยองค์กรอิสระ 2 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมืองว่า มติวิปรัฐบาลยืนยันให้รับร่างกฎหมาย ดังกล่าว ส่วนที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน ระบุว่า ส.ส. มีอิสระใน การจะรับหรือไม่รับร่างนั้นก็ถือว่าเป็นแนวคิดของ ร.ท.กุเทพ

นายเอกพจน์ ปานแย้ม ส.ส.ปทุมธานี พรรคชาติไทย ในฐานะวิปรัฐบาล กล่าวว่า พรรค ชาติไทยเห็นด้วยและยอมรับมติ แต่ในส่วนของกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง ส่วนใหญ่ต้องอนุมัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญซึ่งไปแก้อะไรมากไม่ได้

หาช่องเสนอ“ก.ม.นิรโทษกรรม”

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า วิปรัฐบาลมีมติ ไปก่อนหน้านี้แล้วให้รับแต่สำหรับ ส.ส. จะรับหรือไม่ยังไม่ทราบ เพราะไม่สามารถไปบังคับได้ ซึ่งคงจะมีการหารือกันอีกครั้งในการประชุมพรรคพลังประชาชน

ส่วนแนวคิดการเสนอออกกฎหมายนิรโทษกรรรม ส.ส.พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ขณะนี้บ้านเมืองก้าวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย อะไรที่ไม่เป็นประชาธิปไตยต้องแก้ไข ซึ่งจากการพูดคุยกันภายในวิปรัฐบาลก็เห็นด้วยจึงได้ตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาข้อกฎหมายที่ไม่สอดคล้องต่อหลักประชาธิปไตย ทั้งนี้เราไม่สนใจว่าจะถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้อดีตนายกฯ เพราะถือว่ามาจากการเลือกตั้ง ถือว่าที่จะทำวันนี้เพื่อให้บ้านเมืองสงบทำเพื่อประชาชน แนวคิดคือ สิ่งใดที่ไม่เป็นประชาธิปไตยต้องแก้ไข เพราะหลักของรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ระบุว่าอำนาจ อธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ดังนั้นอะไรที่ขัดต่อหลักการนี้ต้องแก้ไข

ปูดรถไฟฟ้าสายสีม่วงกลิ่นตุ ๆ

ที่รัฐสภา นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร แถลงถึงการยื่นซองประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงบางซื่อ-บางใหญ่ ว่าพบพฤติกรรมที่ส่อทุจริต เนื่องจากมีการกำหนดสเปกผู้เข้าร่วมประมูลไว้สูง เช่น ต้องมีทุนจดทะเบียน 1 พันล้านบาท ต้องมีผลงานเฉลี่ย 3 ปี ปีละ 1 หมื่นล้านบาท ทำให้ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะมีอยู่ไม่กี่บริษัท รวมทั้งยังมีบริษัทรับเหมาที่มีเจ้าของเป็นอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชากรไทย จะยื่นซองประมูลด้วย

รองประธาน กมธ.ฯ กล่าวต่อว่า ขอเรียกร้องให้ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (เจบิค) ไม่อนุมัติเงินกู้และเข้ามาตรวจสอบ และขอให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ ป.ป.ช. ตรวจสอบโครงการนี้ เนื่องจากมีความพยายามจะเร่งรัดให้เซ็นสัญญา 3 โครงการให้เสร็จสิ้นในเดือน พ.ย.นี้

“จรัญ”ชี้ ม.237 ปราบแก๊งโจร

ที่รัฐสภา ในการเสวนา “1 ปีกับฤทธิ์เดชของรัฐธรรมนูญปี 50” นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า รัฐธรรม นูญฉบับนี้ร่างขึ้นมาช่วงบ้านเมืองมีปัญหาจึงต้องให้ยาแรงกันบ้าง ในภาพรวมหลังการบังคับใช้ 1 ปีถือว่าน่าพอใจ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่มา ส.ว. ได้แสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ดังนั้นหากจะย้อนกลับไปใช้ระบบเดิม ปัญหาเดิมจะวนกลับมานำไปสู่ความไม่เชื่อถือต่อวุฒิสภา ส่วนมาตรา 237 ที่จะถูกล้ม ล้างลง ทั้ง ๆ ที่แก้ปัญหาทุจริตซื้อสิทธิขายเสียงเป็นกุศโลบายที่กำกับพฤติกรรมนักการเมืองไม่ให้ซื้อเสียงเด็ดขาด พรรคการเมืองต้องเป็นสถาบันไม่ใช่เป็นแค่แก๊งโจร

ายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. กล่าวว่า ยิ่งทำงานยิ่งรู้ปัญหา เปรียบเหมือนโรคห่าลงสมัยรัชกาลที่ 4 หากไม่กวาดล้างหรือผ่าตัด ยังใช้หมอผีเขมรมาปัดเป่าคงไม่มีทางแก้ได้ การรักษาด้วยแพทย์แผนใหม่อาจรุนแรง บางคนทนยาไม่ไหวก็ตายไป คนไทยที่เหลือจะเป็นคนสุขภาพดี รัฐธรรมนูญปี 50 จึงเป็นการให้ยาที่ ถูกสุขลักษณะ “ยืนยันว่าต้นไม้นี้ไม่มีพิษ หากบุคคลที่ไปจับนั้นไม่มีแผลบนฝ่ามือ แต่หากมี แผล พิษนั้นอาจแล่นเข้าสู่ร่างกายได้ทันที อย่างเรื่องถุงขนม 2 ล้านบาทก็ไม่ใช่รัฐธรรมนูญนี้จัดการ แต่เป็นองค์กรที่เข้มแข็งเขาจัดการ”

รอถกใบขาว“วิฑูรย์”สัปดาห์นี้

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาสำนวนเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้งของนายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ หลังจากคณะอนุกรรมการสรุปว่าไม่มีความผิดว่า ยังไม่เห็นสำนวนจึงไม่ทราบว่าคณะอนุกรรมการสรุปอย่างไร คณะอนุกรรมการทุกท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก กกต. และเจ้าหน้าที่ของ กกต. ไม่มีสิทธิเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการทำงาน ถ้าคณะอนุกรรมการดำเนินการเสร็จแล้ว คาดว่า กกต. น่าจะพิจารณาได้ภายในสัปดาห์นี้

เมื่อถามว่า กระแสข่าวการยกคำร้องทำให้ กกต. รู้สึกกดดันหรือไม่ นายประพันธ์ กล่าวว่า ก็มีบ้างเป็นธรรมดา แต่ว่าในการทำงานเราก็ต้องยึดหลักกฎหมาย พยานหลักฐาน ส่วนที่พรรคพลังประชาชนตั้งข้อสังเกตว่า กกต.มักให้พรรคประชาธิปัตย์รอดตัวทุกคดี นายประพันธ์ กล่าวว่า ไม่มีอย่างแน่นอน และที่ผ่านมาผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ก็โดนใบเหลือง และไม่ได้รับเลือกกลับเข้ามาก็มี

“หมัก”ดอดหารือ“เตีย บันห์”

วันเดียวกัน เวลา 11.30 น. นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และ รมว.กลาโหม เดินทางมาที่ห้องรับรองกระทรวงกลาโหม เพื่อมาหารือและรับประทานอาหารกลางวันกับ พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กัมพูชา พร้อมคณะ ซึ่งเดินทางมาเยือนประเทศไทย โดยมี พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และพล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.ทหารสูงสุด เข้าร่วมหารือและรับประทาน อาหารกลางวันด้วย โดยคาดว่าจะมีการหารือเกี่ยวกับปัญหาสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสมัครเดินทางมาถึงกระทรวงกลาโหมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี และเมื่อพบกับสื่อมวลชนได้หยุดเดินพร้อมกล่าวว่า “ขอให้ไปรอพบที่ตึกสันติไมตรี” โดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์แล้วเดินทางเข้าพบคณะทหารของกัมพูชาทันที อย่างไรก็ตามการเข้าพบครั้งนี้นายสมัครได้พยายามปิดข่าว โดยมีการ ปล่อยข่าวว่าคนที่เข้าพบ พล.อ.เตีย บันห์ คือ พล.อ.บุญสร้าง

เที่ยวไร้พรมแดนเขาพระวิหาร

ต่อมาที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมัคร ให้สัมภาษณ์ถึงผลการหารือร่วมกับ พล.อ.เตีย บันห์ ว่า ทุกอย่างเรียบร้อย ปัญหาตามแนวชายแดนได้หารือว่ามีปัญหาตรงไหนก็แก้ตรงนั้น อะไรที่แก้ไม่ได้จะแขวนไว้ก่อน ส่วนพื้นที่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เราจะทำให้กลมกลืนเพื่อให้คนในโลกได้เห็นว่าเราไม่ได้มีอะไรกัน

เมื่อถามว่า ถือว่าขณะนี้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่มีปัญหาแล้วใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า พูดได้ว่าไม่มีปัญหา ต่อไปจะถอนกำลังทหารออกทั้งหมด แล้วจะตกลงกันว่าจะให้คนกลางที่ไม่เกี่ยวข้องกับพรมแดนและไม่มีความผูกพันมาช่วยดูแลพัฒนาเพื่อให้นักท่องเที่ยวกลับมาเหมือนเดิม ได้ประโยชน์กันทั้งสอง ฝ่าย แต่ต้องค่อย ๆ ทำ ขณะนี้ต้องทยอยเอาทหารออกให้หมดเพื่อไม่ให้มีใครอยู่ตรงนั้น ก่อนที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเที่ยว

เลื่อนประชุม ผบ.เป็น 26 ส.ค.

พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ. ทหารสูงสุด ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ส่งบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารทุกเหล่าทัพให้กับ รมว.กลา โหม เมื่อวันที่ 25 ส.ค. แล้ว ส่วนการที่ รมว. กลาโหม จะเชิญ ผบ.เหล่าทัพ เพื่อประชุมคณะกรรมการพิจารณาปรับย้ายนายทหารนั้น เชื่อว่าไม่จำเป็นต้องออกเสียงโหวต เพราะเราจะคุยโดยใช้เหตุผล

รายงานข่าวแจ้งว่า เดิมคณะกรรมการพิจารณาปรับย้ายนายทหารระดับนายพลที่มี นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน และมีผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นคณะกรรมการ จะประชุมกันในวันที่ 25 ส.ค. แต่ล่าสุดนายสมัคร ได้ให้เลขาธิการนายกฯ แจ้งกับผู้บัญชาการเหล่าทัพว่าให้เลื่อนการประชุมออกไปเป็นวันที่ 26 ส.ค. เวลา 16.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล เนื่องจาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ติดการปฏิบัติภารกิจเดินทางลงไปในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

โผทหารยังไม่นิ่ง ตท.10 รุกคืบ

รายงานแจ้งว่า บัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี 2551 ที่ยังมีปัญหา คือ ตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทอ. ส่วน ผบ.ทร. ลงตัวแล้วโดย พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. เสนอพล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ประธานคณะที่ปรึกษา ทร. เพื่อน ตท. 10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นดำรงตำแหน่ง สำหรับตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม เดิมมีการเสนอ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ รองผบ.ทหารสูงสุด ข้ามห้วยมาเป็น และ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ รองปลัดกระทรวง กห. ข้ามฟากมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุด แต่ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ เสธ. ทหาร มีชื่อติดเข้ามาเป็นแคนดิเดตในตำแหน่ง ผบ.ทหารสูงสุด ด้วย

ส่วนตำแหน่ง ผบ.ทอ. นั้น พล.อ.อ. ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. จะเสนอ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ เสธ.ทอ.ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน แต่ถูกคัดค้านจากกลุ่มอำนาจเก่า และมีกระแสข่าวว่า พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.ทหารสูงสุด ได้เสนอพล.อ.อ.บุรีรัตน์ รัตนวานิช รองเสธ. ทหารข้ามกลับมาถิ่นเก่าด้วยเช่นกัน นอกจากนี้กลุ่มอำนาจเก่าเตรียมผลักดัน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต โยกจากกระทรวงกลาโหม กลับมาเป็น ผบ.ทอ. ด้วย

“บิ๊กโก”ชง“ดร.ป๋อง”ปลัดมท.

รายงานข่าวจากกระทรวงมหาดไทยแจ้งว่า ในการประชุม ครม. วันที่ 26 ส.ค. นี้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกฯ และ รมว. มหาดไทย จะเสนอชื่อนายพีรพล ไตรทศาวิทย์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. เพื่อให้ขึ้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงฯ แทนนายพงศ์โพยม วาศภูติ ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายอธิบดี และผู้ว่าราชการจังหวัด คาดว่าจะเป็นในสัปดาห์ถัดไป

รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันเดียวกันนี้มีอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย และอดีตผู้สมัครส.ส.พรรคพลังประชาชน ทยอยเดินทางเข้ายื่นใบสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่อาคารนวสร ถนนพระรามที่ 4 อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน อาทิ นายประแสง มงคลสิริ อดีตผู้สมัคร ส.ส. อุทัยธานี นอกจากนี้ยังมีนายพายัพ ปั้นเกตุ อดีตผู้สมัครส.ส.ชัยนาท พรรคประชาราช และนายพิษณุ พลไวย์ อดีตผู้สมัคร ส.ส. พิษณุโลก พรรคมัชฌิมาธิปไตย มายื่นใบสมัครด้วย

“แม้ว”ยันไม่ขาย“แมนฯ ซิตี”

อีกด้านหนึ่ง เว็บไซต์ข่าวกีฬาสปอร์ติ้ง ไลฟ์รายงานโดยอ้างการเปิดเผยจาก มร.แกรี คุก ประธานบริหารสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยืนกรานไม่มีความคิดจะขายสโมสรออกไป รายงานระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งปฏิเสธที่จะกลับเมืองไทยหลังจากเจอคดีคอร์รัปชั่นอันนำไปสู่ข่าวว่า พ.ต.ท. ทักษิณ จะประคองสภาพการเงินของสโมสรไปได้อีกนานแค่ไหน อย่างไรก็ตาม มร.คุก เผยว่า อดีตผู้นำของไทยไม่ได้มีความคิดเรื่องขายทีม แต่ยังหวังว่าจะอยู่กับทีมไปอีกนาน

“เมื่อสิ่งแบบนี้พุ่งเข้ามาหาคุณคุณ ก็ยิ่งต้องพยายามมากขึ้น แต่เขาก็แข็งแกร่งขึ้น กว่าเดิม เพราะนี่คือสโมสรที่เขารักและเขาต้องการแสดงให้ผู้คนเห็นถึงความผูกพันของเขาต่อสโมสร ผมได้ถามเขาเช่นเดียวกับทุกคนว่าสโมสรนี้จะถูกขายหรือไม่ และเขายืนยันว่าสโมสรนี้ไม่ได้มีไว้ขาย ผมถามเขาอีกว่าทำไมถึงซื้อสโมสรนี้ เขาตอบว่าซื้อเพราะมีแผนจะอยู่กับทีมเป็น 10 ปี” ประธานบริหารฯ ระบุ.


update by : Patcharin Udomwong 5131601138

6 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ยึดไปเลยพาสปอร์ตแดงอะ จะได้ไม่ต้องหนีไปลี้ภัยที่โน้นที่นี่อีก

อยากให้มีการจัดการที่เด็ดขาดมากกว่านี้
เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเรา ที่ตอนนี้มันกำลังจะฆ่ากันเอง เพราะคนไม่กี่คนแล้ว

Democl2acy Group กล่าวว่า...

ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ทำให้ตัวเองร่ำรวยเพราะฉลาดแกมโกง ย่อมจะส่งผลอีกไม่นานนี้หรอก ....คนดีไม่ต้องกลัวผิด...และคนไม่ดีก้อไม่ต้องกลัวผิด เหมือนกัน กล้าทำก้อต้องกล้ารับ...

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

นายก ไร้ประสิทธิภาพ ... เมื่อไหร่จะมีอะไรดีๆเข้ามาในสังคมไทยกันบ้าง

คนดีที่มีความรู้ความสามารถหายไปไหนกันหมด
มาช่วยประเทศชาติกันเหอะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เหอะๆๆ ขอแบ่งสักล้านได้ป่ะนี้

รวยเหลือเกิน

รวยจากการโกงกิน

ไม่ดีเลย เงินของประชาชนทั้งนั้นเลย

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เหอะๆๆ ขอแบ่งสักล้านได้ป่ะนี้

รวยเหลือเกิน

รวยจากการโกงกิน

ไม่ดีเลย เงินของประชาชนทั้งนั้นเลย

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

i agree with Khun Pilin that we should cancel his passport

because he should arrested in order to Thai law

he's real CORRUPTION one !!